
เปิดใจ ‘หมอสามัญชน’ ประธานชมรมไทยวีไอดอทคอม จากเงินก้อนแรก 1.4 ลบ. ผ่านไป 9 ปี พอร์ตหุ้นทะยานแตะระดับ ‘ร้อยล้าน’ เขาทำได้ คุณก็ทำได้
ก็อยากรวยจากตลาดหุ้น แต่ใช่ว่าใครๆก็รวยได้ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มต้นคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าของ “ครอบครัวศรีงาน” เขาตัดสินใจนำเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่ทำงานรับใช้คนไข้มาตลอด 7 ปี รวมกับเงินกู้สหกรณ์อีกก้อนหนึ่ง เริ่มเพาะต้นกล้าการลงทุนตามแนวทางแวลูอินเวสเตอร์ โดยมีอนาคตลูกน้อยอีก 3 ชีวิต เป็นเดิมพัน
เวลาผ่านไป 9 ปี มหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ “ทบต้น” และการทุ่มเทค้นหาเส้นทางแห่งความสำเร็จ ทำให้หมอบ้านนอกประกาศอิสรภาพทางการเงิน เป็น “นาย” ของเงินนับ “ร้อยล้านบาท” ในปัจจุบัน และใช้เงิน “ทำงาน” ราวกับเครื่องจักรอันทรงพลัง ทั้งยังแบ่งปันความรู้จนเป็นที่นับถือของพี่น้องชาวไทยวีไอดอทคอม ในฐานะ.. “พี่หมอสามัญชน”
กลุ่มนักลงทุน “ไทยวีไอ” ที่ก่อตั้งโดยแกนนำอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร , ธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ฯลฯ เป็นผู้นำแนวคิดของปรมาจารย์การลงทุนหุ้นคุณค่าระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ , เบนจามิน เกรแฮม , ปีเตอร์ ลินช์ มาปรับใช้กับการลงทุนแบบไทยๆได้อย่างลงตัว จนเกิดนักลงทุนทางเลือก ที่เลือกเดินบนเส้นทางสายนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน นพ.บำรุง ศรีงาน เป็นประธานชมรม “ไทยวีไอ” ที่หันเหชีวิตมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ส่วนตัวเขาเริ่มไต่ระดับพอร์ตหุ้นจากหลัก “ล้านบาท” สู่ระดับ “ร้อยล้านบาท” จากการเข้าลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) , โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) , ไอที ซิตี้ (IT) , ผาแดงอินดัสทรี (PDI) , เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) , สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) และ ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) บางตัวมีกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดพูดคุยกับคุณหมอสามัญชนที่โครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง คุณหมอนักลงทุน เปิดฉากชีวิตก่อนจะมาถึงจุดนี้ให้ฟังว่า ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ แม้จะมีรายได้ค่อนข้างดีกว่าอาชีพอื่น แต่เริ่มมีความคิดว่าอายุเราก็เพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานย่อมลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้นเพราะลูกทั้งสามคนโตขึ้นทุกวัน จึงตัดสินใจมองหาอาชีพเสริม ตอนนั้นคิดจะเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
“แต่หลังจากไปฟังสรุปข้อมูลจากทางบริษัทคิดว่าไม่คุ้มค่า เพราะต้องลงไปบริหารร้านเองด้วย ต่อมามีโอกาสได้อ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ จับใจความสำคัญได้ว่า เราสามารถใช้เงินให้ทำงานได้ จึงเริ่มวางแผนที่จะนำเงินเก็บที่มีอยู่ 400,000 – 500,000 บาท จากการทำงานมาตลอด 7 ปี บวกกับกู้เงินสหกรณ์อีก 1,000,000 บาท นำไปลงทุน โดยไม่คิดฝากเงินในธนาคารเพราะตอนนั้น (ช่วงปี 2545) ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1% ต่ำมาก”
ตอนนั้นในหัวคุณหมอคิดถึงทฤษฎีของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ “อันดับแปด” ของโลกนั่นคือ “ดอกเบี้ยทบต้น” ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10% ทุกปี ตลอดระยะเวลา 20 – 30 ปีต่อเนื่อง ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
“จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังได้เห็นโฆษณาขายหุ้นไอพีโอ ปตท. (PTT) แล้วเขาชูเรื่องจ่ายเงินปันผล 7% เยอะกว่าฝากเงินมาก เลยตัดสินใจเปิดพอร์ตเดี๋ยวนั้นเลยกับ บล.เกียรตินาคิน”
ก้าวแรกในการลงทุนของคุณหมอยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขาดประสบการณ์และความรู้ยังไม่แน่น เริ่มซื้อหุ้นชุดแรก เช่น ซีเฟรชอินดัสตรี (CFRESH) , เจริญโภคภัณฑ์อาหาร , (CPF) , ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ผ่านไปประมาณครึ่งปี ขาดทุนไป 400,000 บาท
“เหตุผลที่ซื้อหุ้นตอนนั้นเพราะโบรกเกอร์บอกว่า หุ้นกลุ่มเกษตรจ่ายปันผลดีกว่า ปตท. มาขาดทุนหุ้น CFRESH เพราะดูงบการเงินในอดีตและปัจจุบันมันดี แต่ลืมดูแนวโน้มในอนาคต(จากที่คิดว่าถูกก็เลยกลายเป็นแพง)”
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมจนได้มาอ่านหนังสือ “ตีแตก” ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาช่วยเติมเต็มความรู้ สิ่งที่ได้เรียนรู้มากขึ้นจากหนังสือตีแตก สิ่งที่ ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็น “เจ้าของกิจการ” กับการเป็น “นักลงทุน”
ข้อดีของการเป็นนักลงทุนคือ เราสามารถเลือกซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงได้ รวมถึงสามารถเลือกขายออกไปในราคาที่มากกว่ามูลค่าทางบัญชีได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเจ้าของหุ้น ก็ต้องกอดหุ้นตัวนั้นไปตลอดไม่ว่าธุรกิจจะดีหรือไม่ดี
นอกจากนี้ เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจระดับประเทศได้ โดยที่ไม่ต้องลงไปสร้างเองกับมือ คนทั่วไปคงไม่มีเงินเป็นร้อยล้าน เป็นพันล้าน หรือหมื่นล้าน
“ผมเป็นข้าราชการกินเงินเดือน คงไม่มีเงินไปลงทุนธุรกิจใหญ่เองได้ แต่การเป็นนักลงทุนทุกอย่างเปิดโอกาสให้เราได้หมด หนังสือตีแตกยังสอนให้รู้จักการอ่านงบการเงินอย่างถูกต้องด้วย”
ปีที่สองของการลงทุน…กำไรเกือบ 3 ล้าน
พอในปี 2546 หมอบ้านนอกได้ค้นพบหนทางแห่งความร่ำรวยจากการใช้เงินทำงาน ตามแนวคิดของ โรเบิร์ต คิโยซากิ และตีแตกแบบ ดร.นิเวศน์
ปีที่สองของการลงทุน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 323 จุด (ปี 2545) ทะยานขึ้นไป 802 จุด (ปี 2546) ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังท็อปฟอร์ม พอร์ตของ นพ.บำรุง ก็โตขึ้นมากกว่า 100% ด้วย ปีนั้นสามารถทำกำไรได้เกือบๆ 3,000,000 บาท แต่ปีถัดไปพอร์ตกลับมา “ติดลบ” อีกครั้ง หลังในปี 2547 ดัชนีดิ่งลงมาต่ำสุด 576 จุด เพราะปีก่อนขึ้นไปมากเกินไป รู้ซึ้งสัจธรรมตลาดหุ้นมีขึ้น-มีลง ขึ้นมากได้ก็ลงมากได้เช่นกัน และไม่มีหุ้นอะไรที่ดีตลอดไป
คุณหมอบอกว่า สาเหตุที่ได้กำไรในปี 2546 มาก มาจากภาพรวมดัชนีที่ปรับตัวขึ้นไปมาก แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากความรู้ที่แท้จริง ทำให้ต้องเริ่มต้นหาแนวทางการลงทุนของตัวเองใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้ขาดทุนอีก
จุดเปลี่ยนในฐานะแวลูอินเวสเตอร์อย่างเต็มตัวเกิดขึ้นจากการที่คุณหมอเริ่มเข้าไปพูดคุยในเว็บบอร์ด “ไทยวีไอดอทคอม” เป็นจุดหักเหทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดการลงทุนเชิงบูรณาการ มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักลงทุน “รู้เขา-รู้เรา” ไม่ได้คิดเองคนเดียว จนถึงปีที่ห้าของการลงทุน เริ่มกลับมาได้กำไรประมาณ 20-30%
ถึงตรงนี้ หมอบำรุงเริ่มอธิบายสไตล์การลงทุนของตัวเองให้ฟังว่า คล้ายๆแต่ไม่เหมือนกับแนวทางของ ดร.นิเวศน์ ที่ยึดหลักของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือค้นหา “หุ้นสุดยอด” (Great Stock) ที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและอยู่กับมันให้นานที่สุด แต่วิธีการของหมอบำรุงจะค่อนไปทาง ปีเตอร์ ลินช์ และแนวทางของ เบนจามิน เกรแฮม ต้นตำรับการลงทุนแนววีไอ
ปีเตอร์ ลินช์ + เกรแฮม = หมอบำรุง
นพ.บำรุง บอกว่า ถ้าเป็นแนวคิดของ เบนจามิน เกรแฮม จะค้นหาหุ้นที่มีทรัพย์สินมากแต่ราคาถูก แต่ของ ปีเตอร์ ลินช์ จะเน้นลงทุนหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) , หุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ในประเทศไทยหาหุ้นแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนยาก และส่วนตัวมองธุรกิจกลุ่มนี้ได้ไม่ค่อยทะลุปรุโปร่ง(เหมือน ดร.นิเวศน์) จึงเดินตามแนวทางที่ “ใช่” กับตัวเองมากกว่า
ไม่ง่ายที่คนคนหนึ่งจะใช้ “เรือเล็ก” ออกจับปลาใหญ่ในมหาสมุทรกว้าง โดยไม่ล้มครืนกลางทะเลเมื่อเจอพายุใหญ่ เฉกเช่นการเดินทางมิอาจไร้ซึ่งทิศทาง เป้าหมายที่ “ยิ่งใหญ่” ก็มิอาจไร้ซึ่งการรอคอยและความอดทน หมอบ้านนอกจากอำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ รวบรวมเงินลงทุนเท่าที่มีมุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น เขาตั้งความหวังเหมือนนักลงทุนทุกคน นั่นคือ “กำไร”
แต่การค้าขายหุ้นของหมอมีความชัดเจนตั้งแต่แรกว่า จะเน้นที่กำไรจาก Capital Gain (ส่วนต่างราคาหุ้น) เป็น “อันดับแรก” เงินปันผลเป็นเพียง “ผลพลอยได้”
“ไม่มีประโยชน์ที่ได้ปันผลเยอะแต่ราคาหุ้นร่วง(ตก)มากกว่าหลังขึ้นเครื่องหมาย XD (ผู้ซื้อไม่มีสิทธิรับเงินปันผล) จำไว้ว่าปัจจัยแรกที่หุ้นจะขึ้นคือ “ผลกำไร” รองลงมาคือ “เงินปันผล” (ต้องสมน้ำสมเนื้อ) มีตัวอย่างให้เห็นมามากที่บริษัทกำไรดี แต่จ่ายปันผลน้อยแถมหุ้นก็ไม่ขึ้น”
อีกจุดที่ยากของการลงทุนคือ การตัดสินใจ “ขาย” จะเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นไปถึง Fair Value (ราคายุติธรรม) หรือ Over จากนั้นไปแล้ว หมอบำรุงจะเริ่มจับตาเป็นพิเศษโดยไม่คิดที่จะถือหุ้นตัวไหนไปนานๆ ยกเว้นแต่ราคายังไม่เต็มมูลค่า
“ผมเชื่อว่าของทุกอย่างมีราคาที่เหมาะสมของมัน ไม่มีหุ้นตัวไหนที่ราคาอินฟีนิตี้(ไม่มีจุดจบ) ต่อให้ดีแค่ไหนก็ตาม”
วิเคราะห์หุ้นเหมือนการทำวิทยานิพนธ์
เบื้องหลังความสำเร็จของ นพ.บำรุง หาใช่ “โชค” แต่เป็นการ “ทำการบ้าน” อย่างหนัก หมอเปรียบการวิเคราะห์หุ้นเหมือนกับการทำวิทยานิพนธ์ต้องตัดอารมณ์ความชอบส่วนตัวออก เพราะอารมณ์จะทำให้เกิดความลำเอียง สิ่งที่ต้องการคือข้อเท็จจริงล้วนๆ
นอกจากตัวเลขต่างๆที่ต้องดูแล้ว ปัจจัยที่ขาดไม่ได้ในการวิเคราะห์หุ้นก็คือ “ธรรมาภิบาล” ของบริษัทและผู้บริหาร ต่อให้หุ้นดีแต่ผู้บริหารมีข่าวในแง่ลบ เช่น ถูก ก.ล.ต.ลงโทษก็จะ “ไม่ซื้อ” แม้หุ้นจะขึ้นก็ไม่เสียดายจะคิดว่านั่นไม่ใช่เงินของเรา
เครดิต : Bizweek
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น