9 สิงหาคม 2555

วีไอ 'อนุรักษ์ บุญแสวง' จากทุน 8 แสน สู่หลัก 'ร้อยล้าน'

กำไรทบต้น สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ผู้เดินตามแนวคิด 'อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์' วันนี้เขามีพอร์ตเลข 9 หลัก

ใครคนหนึ่งเอ่ยถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่า "ท่านครับ! ท่านคิดว่าอะไรคือประดิษฐกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติครับ" อัจฉริยะผมยุ่งผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1879-1955 ตอบว่า ก็ดอกเบี้ยทบต้นไง!!! เจ้าของชื่อล็อกอิน “ลูกอีสาน” ในเว็บไซต์ Thaivi "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง วันนี้พอร์ตเขาแตะเลข 9 หลัก เพราะเดินตามทฤษฎี “กำไรทบต้น” สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของไอน์สไตน์

โจเป็นนักลงทุนวีไอที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามีแฟนคลับคอยติดตามผลงานการลงทุนอย่างใกล้ชิดและเป็นหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) โจและเพื่อน 2-3 คน ที่เป็นนักลงทุนแนว VI เหมือนกันลงทุนอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทุกไตรมาสพวกเขาจะจัดสัมมนาคุยกับแฟนๆ ประมาณ 50 ที่นั่ง ที่ร้านอาหาร สมิหลาซีสปอร์ต ในอำเภอหาดใหญ่



ชื่อ "ลูกอีสาน" ที่โจใช้เป็น "นามแฝง" หาใช้ภูมิลำเนาที่แท้จริงไม่ ความจริงโจเกิดและใช้ชีวิตวัยเด็กจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่จังหวัดพังงา ก่อนจะเข้ามาอยู่กับญาติย่านลาดพร้าว เพื่อศึกษาต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนชื่อ “ลูกอีสาน” เกิดขึ้นหลังอ่านนวนิยายเรื่อง “ลูกอีสาน” ของ คำพูน บุญทวี ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2544 แล้วเกิดซาบซึ่งในชื่อนี้ขึ้นมา

เซียนหุ้นวีไอรายนี้ปัจจุบันอยู่ในวัย 38 ปี มีพี่น้อง 4 คน โจเป็นลูกชายคนรองคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ส่วนคุณแม่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ยึดอาชีพขายของชำเลี้ยงดูลูกๆ ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก ตัวเขา พี่ชายคนโตและแม่ ต้องแบกรับหน้าที่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวทั้ง 5 ชีวิต

โจลงทุนในตลาดหุ้นมานาน 12 ปีครึ่ง (2543-2555) มีพอร์ตทะยานขึ้นมาเลข 9 หลัก โดยมูลค่าการลงทุนขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี "เฉลี่ยปีละ 60%" มีผลตอบแทนในช่วง 12 ปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 400 เท่า สมมติฐานทั้งหมดตั้งอยู่บนหลักการไม่นำเงินออกมาใช้ แต่ความจริงเขานำเงินมาใช้เฉลี่ย 5-10% ของพอร์ต

ก่อนจะเล่าจุดเริ่มต้นในเส้นทางเซียนหุ้น โจระบายความใจว่า "พื้นฐานผมมาจากครอบครัวยากจน และเป็นคนบ้านนอก เมื่อก่อนจะมีประโยคฮิตว่า “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” ผมจึงอยากพิสูจน์ตัวเองว่า คนจนก็เล่นหุ้นได้หมือนกัน ขอเพียงแค่มีใครสักคนมาคอยชี้แนวทางที่ถูกต้องให้เดินเท่านั้น"

จุดสนใจตลาดหุ้นเกิดขึ้นตอนเด็กๆ ช่วงนั้นโจย้ายไปอยู่บ้านญาติแถวลาดพร้าว วันหนึ่งก็แอบได้ยินลูกชาย (คุณน้า) ของคุณปู่ ซึ่งอายุห่างกันประมาณ 15 ปี บอกกับคุณปู่ว่าอยากลาออกจากงานประจำมาเล่นหุ้น ไม่ต้องทำอะไรเลยก็มีเงินใช้ ตอนนั้นโจคิดในใจว่า “อาชีพอะไรทำไมน่าสนใจแบบนี้”

"จากนั้นผมก็เริ่มหาหนังสือและพ็อกเก็ตบุ๊คที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจมาอ่าน เรียกว่าช่วงนั้นไม่อ่านหนังสือเรื่องอื่นเลย ยกเว้นหนังสือเรียน เมื่อเรียนจบม.ปลาย ผมก็ไปเรียนต่อในคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ใจจริงอยากเรียนเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ เพราะเลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง แต่สอบไม่ติด จากนั้นก็ไปเรียนต่อด้านการเงินการธนาคารที่รามคำแหง เพราะอยากมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน"

ช่วงที่เรียนปริญญาตรีอยู่สงขลานครินทร์ โจจะใช้เวลาทุกเย็นอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เขาอ่านหนังสือลักษณะนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 4 ปี จนเรียนจบในเดือนมีนาคม 2539

หลังเรียนจบปริญญาตรีใบแรกถัดมาประมาณ 3 ปี เขาก็ตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นมีเงินประมาณ 50,000 บาท ซึ่งเป็นเงินเก็บจากการทำงานในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นทำงานในบริษัทขายเครื่องใช้สำนักงานและกล้องถ่ายรูป เงินเดือนน้อยประมาณ 10,000 บาท แต่ก็ต้องทำ

"ช่วงเปิดพอร์ต ผมเจ็บใจมาก (หัวเราะ) ตอนนั้นเพิ่งผ่านวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาใหม่ๆ โบรกเกอร์แห่งหนึ่งจะให้ผมเปิดพอร์ต 5 ล้านบาท ตอนนั้นผมคิดในใจใครจะมีเงินมากขนาดนั้น สุดท้ายผมก็ไปเปิดพอร์ตที่ บล.เกียรตินาคินประมาณ 300,000 บาท"

ตอนนั้นเขาไปขอเงินแม่มา 100,000 บาท ทั้งครอบครัวคงมีเงินอยู่เท่านั้น แต่แม่ก็ให้เพราะรักลูก ส่วนที่เหลืออีก 150,000 บาท ไปชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มาร่วมลงทุน เพราะเขาอยากเล่นหุ้นอยู่แล้ว

"ผมซื้อหุ้น บล.เอกธำรง (S-one) เป็นตัวแรก ตอนนั้นปี 2541 ในราคา 11.30 บาท ถือมาประมาณ 1 ปี ก็ขายในราคา 5.80 บาท (หัวเราะ) เรียกได้ว่า “ขาดทุนยับเยิน” เหลือเงินติดพอร์ตเพียง 120,000 บาท สุดท้ายก็แบ่งคนละครึ่งกับเพื่อน" นั่นคือความล้มเหลวแรกที่เจ้าตัวไม่เคยลืมเลือน

ช่วงนั้นเขายอมรับว่าในหัวสมองไม่มีวิชาการวิเคราะห์หุ้น วันๆ อ่านแต่บทวิเคราะห์อย่างเดียว แถมรู้จักธุรกิจที่ลงทุนเพียงผิวเผินเท่านั้น ผนวกกับตอนนั้นเพิ่งผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาใหม่ๆ ทำให้รายได้ของโบรกเกอร์ไม่ดี จำได้ช่วงซื้อหุ้น S-one ดัชนีหุ้นไทยหล่นจาก 600 จุด มายืน 200 จุด

หลังจากขาดทุนหนักโจก็เดินทางไปสหรัฐอเมริกา ภรรยาที่เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งคบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยได้ทุนไปเรียนต่อ โจใช้เวลาช่วงนั้นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงิน วันหนึ่งไปอ่านเจอบทความของอาจารย์ที่แนะนำการลงทุนเน้นคุณค่าทางอินเตอร์เน็ต

คนหนึ่งชื่อว่า Paul A Renaud ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทย เขาเป็นเจ้าของ www.thaistocks.com เขาจะสอนให้ซื้อหุ้นขนาดเล็กเน้นดูพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก แต่ตอนนั้นโจยังไม่รู้ว่าลงทุนแบบนี้เขาเรียกว่าแนว VI เพราะยังไม่มีการบัญญัติคำเหล่านั้นขึ้นมา

อีกคนชื่อ ปีเตอร์ อีริค เดนนิส นักลงทุนชาวออสเตรีย คนนี้ก็อยู่เมืองไทยเหมือนกัน เขาเขียนบทความลงคอลัมน์ "ถนนนักลงทุน" (ก่อนที่จะเป็นหนังสือกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ในปัจจุบัน) ความยาว 17 หน้า โจอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจำขึ้นใจ บทความชิ้นนี้ทำให้รู้ว่า ชีวิตการลงทุนของคนที่จะประสบความสำเร็จได้ "คุณต้องเป็นมืออาชีพเท่านั้น"

ประโยคหนึ่งในบทความบอกว่า ทำไม! คนไทยต้องไปต่อคิวซื้อธนบัตรที่ได้ดอกเบี้ยเพียง 6% ในขณะที่เมืองไทยมีหุ้นดีๆ ที่จ่ายเงินปันผลมากกว่า 10% ทุกปี ทำไม! ถึงไม่ซื้อ เขาถึงขนาดทนไม่ได้ต้องเขียนเป็นบทความออกมาให้นักลงทุนอ่าน

ปีเตอร์ เดนนิส (สมัยก่อนจะเห็นเขาอยู่ที่ห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์เป็นประจำ) เขาบอกว่า หลักการนี้เหมือนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ขณะเดียวกันเขายังแนะนำวิธีการซื้อหุ้นเน้นดูอัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และเงินปันผล รวมถึงคุณภาพบริษัท

"ผมใช้เวลาอ่านบทความต่างๆ ในช่วงที่อาศัยในสหรัฐอเมริกาประมาณ 2-3 ปี หลังอ่านจบทำให้รู้ว่าแนว VI มันมีเหตุผลมากกว่าเส้นเทคนิค เพราะมีคนทำสำเร็จมาแล้วแถมมีความเป็นไปได้มากกว่า ในอดีตเคยศึกษาเส้นเทคนิคมาประมาณครึ่งปี แต่พอรู้ว่ามันไม่สามารถทำให้ “รวย” ได้ ผมก็เลยเลิก"

เจ้าของพอร์ตหุ้นหลักร้อยล้าน เล่าต่อว่า ในช่วงที่ศึกษาการลงทุนก็ลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปด้วย ตอนนั้นเล่น “หนักมาก” โดยจะนำเงินที่ได้จากการทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่งมาเป็นทุน จำได้ตอนนั้นปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มลงทุนแนว VI ทุกเดือนจะโอนเงินกลับเมืองไทยประมาณ 1,000 เหรียญ เพื่อเข้าบัญชีน้องสาว ซึ่งน้องจะนำไปซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ แม้จะโดนหักค่าโอนครั้งละ 5% แต่ก็ต้องยอมเพราะตอนนั้นหุ้นเมืองไทยหลังวิกฤติเศรษฐกิจมัน “ถูกมาก”

ช่วงนั้นเขาซื้อหุ้น 2 ตัว มูลค่าลงทุน 800,000 บาท แบ่งเป็นเงินของภรรยา 50% และของตัวเอง 50% โดย 400,000 บาท นำไปซื้อหุ้น วนชัย กรุ๊ป (VNG) ตอนนั้นลงทุนโทรไปหาโบรกเกอร์ เขาคิดว่าโจพูดชื่อหุ้นผิด เพราะเขาถามกลับว่าหุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) หรือเปล่า! โจบอกว่า "ไม่ใช่" (หัวเราะ)

เหตุผลที่ซื้อหุ้น VNG เขาบอกว่า ตอนนั้นไม่มีใครสนใจหุ้น VNG ในหนึ่งสัปดาห์แทบไม่มีการซื้อขาย ที่กล้าซื้อ เพราะช่วงนั้นหุ้นมีค่า P/E ที่ 1.5 เท่า นั่นแปลว่า เราทำกำไรแค่ 1 ปีครึ่ง ก็คุ้มกับราคาที่ซื้อแล้ว สมมุติราคาหุ้น 15 บาท ปีครึ่งบริษัททำกำไรได้ 15 บาท ถามว่า “ถูกมั้ย!..มันถูกมาก" (ลากเสียงยาว)

ส่วนอีก 400,000 บาท นำไปลงทุนในหุ้น อาร์ ซี แอล (RCL) ตอนนั้นซื้อมา 28 บาท จำได้ค่า P/E อยู่ที่ 2.5 เท่า เขาถือหุ้น 2 ตัวนี้ (VNG, RCL) เกือบปี แต่ราคาหุ้นแทบไม่ขยับตอนนั้นเริ่มสงสัย “เราคิดถูกหรือเปล่า!”

แต่สุดท้ายมาถึง “จุดเปลี่ยน” มีนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง รวมถึง Paul A. Renaud เขาสนใจหุ้น VNG หลัง Paul A. Renaud ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น VNG ผ่านมาเพียง 1 สัปดาห์ ราคาหุ้น VNG ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว หรือประมาณ 30 บาท

"ผมตัดสินใจเทขายหมดเกลี้ยง ทำให้ได้กำไรกลับมา 400,000 บาท ส่งผลให้พอร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านบาท จากนั้นภายใน 1 ปี ราคหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า เพราะมันกลายเป็นหุ้นมวลชนหลายคนแห่เข้ามาเก็งกำไร ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้น VNG ก็นำไปซื้อหุ้นตัวอื่นๆ กระจายออกไป 2-3 ตัว เช่น หุ้น ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ (PPPC) เป็นต้น ปัจจุบันหุ้นตัวนี้ออกจากตลาดไปแล้ว ตอนนั้นแฮปปี้มากเพราะได้กำไรเกือบทุกตัว

โจลูกอีสาน ทิ้งท้ายว่า อยากเป็นนักลงทุนแนว VI ต้องใช้หลัก “ยิ่งนานยิ่งดี” โจใช้เวลา 7 ปี ในการทำผลตอบแทนให้ได้ 9 เท่า แต่ใช้เวลา 5 ปีหลัง ทำผลตอบแทนให้ได้ 400 เท่า นั่นเป็นเพราะกลยุทธ์ “มหัศจรรย์การทบต้น”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์บอกไว้ว่า “ดอกเบี้ย" คือ สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก โจปักใจเชื่อสนิทขณะที่คนส่วนใหญ่รอไม่ได้ จึงหันไปเก็งกำไร ซื้อหวย และเล่นพนันบอล ส่วนใหญ่ก็เห็นเจ๊งเป็นแถว

เขาอธิบายมหัศจรรย์ของ “กำไรทบต้น” ว่า สมมติเรามีเงิน 100 บาท สิ้นปีสามารถทำผลตอบแทนได้ 20% เท่ากับว่าสิ้นปีเราจะมีเงิน 120 บาท แทนที่จะเอา 20 บาท ไปกินขนม เราก็เอา 20% มาทบเป็นเงินต้น ดังนั้นต้นปีก็จะมีเงินต้น 120 บาท สมมติปีที่ 2 เราสามารถทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม กำไรก็จะเปลี่ยนเป็น 24 บาท เราก็เอา 24 บาท ไปทบต้นอีก ทำแบบนี้ไปทุกปีภายใน 10 ปี มันจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ทะลุฟ้า ฉะนั้นใครคิดอยากรวยเร็ว อย่ามาลงทุนแบบ VI

เครดิต bangkokbiznews.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น