31 มีนาคม 2555

"โยโย่" คนรุ่นใหม่กับอาชีพนักลงทุนเต็มตัว


จากดีกรีในการจัดการพอร์ตหุ้นที่ไม่ธรรมดาเพียงแค่ 6 ปีของการเข้าวงการ “สันติ สิงห์วังชา” สามารถสร้างผลตอบแทนได้แล้วกว่า 27 เท่าตัว ด้วยแนวคิดที่เรียบง่าย ลุ่มลึก สุขุมใจเย็น จนได้รับรางวัลผู้ถือหุ้นคุณภาพมาแล้ว เชิญพบกับทายาทสังกัดมวยชื่อดังผู้ได้รับชัยชนะบนสังเวียนหุ้นของ “สันติ สิงห์วังชา”

"ระหว่างเรียนปริญญาโท จริงๆ ผมตั้งใจว่าหลังเรียนจบก็จะหางานประจำทำตามปกติ แต่ก็ตั้งใจไว้เช่นกันว่า ถ้าพอร์ตหุ้นที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 21 เติบโตจนเงินปันผลสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ก็จะพิจารณาเป็นนักลงทุนเต็มตัว.....และพอดีว่าตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาโทอยู่ พอร์ตก็ผม มันก็โตเกินเป้าหมายที่วางไว้แล้ว คือ ประมาณ 20 ล้าน!!!!! "

ทำให้วันนั้นถึงวันนี้ โยโย่ ในวัย 30 ก็ยังไม่ได้ไปทำงานประจำอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกเลย!!!!!

สำหรับหลักคิดเกี่ยวกับการลงทุนของโยโย่ ได้เปิดเผยให้นักลงทุนไว้อย่างน่าสนใจ


30 มีนาคม 2555

"ชิณณ์" ผู้ชนะหุ้นสิบทิศ กับเทคนิคการลงทุนที่ไม่ธรรมดา

วันนี้พาทุกคนมารู้จักกับเซียนหุ้น ฉายา ผู้ชนะหุ้นสิบทิศ "ชิณณ์ กิตติภานุวัฒน์" กับเทคนิคการลงทุนที่ไม่ธรรมดา......

จากเด็กที่ครอบครัวประสบปัญหาล้มละลาย ไม่มีแม้กระทั่งไม้บรรทัดไปโรงเรียน ครอบครัวต้องย้ายบ้านไปเรื่อยๆ เพื่อหนีเจ้าหนี้ ทำให้เขาตั้งใจว่าสักวันจะต้องร่ำรวยให้ได้ เพราะเจ็บแค้นกับชีวิตที่รันทดในวัยเด็ก

วันนี้ ชิณณ์ ผันตัวจากมาร์เก็ตติ้งหุ้น มาสู่นักลงทุนหุ้นอิสระในวัยเพียง 30 ต้นๆ กับพอร์ตหุ้นหลัก 100 ล้าน

ชิณณ์เริ่มลงทุนตอนเรียนอยู่ปีสาม โดยเขาซื้อหุ้นตัวแรก ก็โชคร้ายเจอเหตุการณ์ 9/11 แต่ช่วงแรกลงทุนโดยใช้เงินเก็บที่มีอยู่เล็กน้อย จึงเสียหายไม่มาก หลังจากนั้นเขาตื้อ ขอเงินเก็บทั้งหมดของครอบครัวจำนวน 5 แสนบาทมาใช้ลงทุน เขาตื้ออยู่นานจนพ่อใจอ่อนให้เขายืม สุดท้ายเขาขาดทุนไป 3 แสน!!!!!

ระหว่างนั้นเขาต้องพยายามปิดบังพ่อเพราะกลัวพ่อรับไม่ไหว ชิณณ์ ใช้เวลา 1 ปี ทำให้พอร์ตกลับมาเป็น 5 แสน เขารีบนำเงินไปคืนพ่อทันที และตัดสินใจว่า เขาจะไม่ใช้เงินของครอบครัวเล่นหุ้นอีกแล้ว !!!!!!

29 มีนาคม 2555

Review หนังสือ "How Buffett Does It ตามรอยวอเร็น บัฟเฟตต์"


คุณรู้หรือไม่ ????

ถ้าคุณลงทุนด้วยเงิน 30,000 บาท ในบริษัทเบิร์กไชร์ฮาธาเวย์ ของวอรเรน บัฟเฟตต์ ในปี 1965 คุณจะมีเงิน 150 ล้านบาทในปัจจุบัน !!!!!!

หนังสือ "How Buffett Does It ตามรอยวอเร็น บัฟเฟตต์" โดย James Pardoe แปลโดยเอกสิทธิ์ หัสสรังสี เล่มนี้ เป็นหนังสือที่สรุปเคล็ดลับง่ายๆ 24 ข้อจากสุดยอดนักลงทุนระดับโลก ผู้ซึ่งสร้างฐานะกลายมาเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับสามของโลกในปัจจุบัน จากการเป็นนักลงทุนเพียงอย่างเดียว และนี่คือบทสรุปเครล็ดลับการลงทุนที่คุณควรลอกจากเซียนหุ้นรายนี้........

1. เลือกความเรียบง่าย มากกว่าความซับซ้อน
บัฟเฟตต์ แนะนำว่า “เมื่อลงทุน ทำให้เรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน จากคำถามที่ซับซ้อน” จำไว้ว่าความยากไม่มีในการลงทุน มองหาบริษัทที่มีประวัติยาวนานและสามารถคาดเดาอนาคตของธุรกิจได้

ถ้าคุณไม่เข้าใจธุรกิจ อย่าซื้อหุ้น

28 มีนาคม 2555

อยากรวยหุ้นต้องลงทุนแบบผู้หญิง

ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะมองว่าผู้หญิงเป็นเพศอ่อนแอ ละเอียดหยุมหยิมเกินไป และไม่เหมาะกับการทำงานใหญ่ที่ต้องอาศัยความเด็ดขาดในการตัดสินใจ แต่สำหรับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่สัญชาติอเมริกัน วัย 80 ปี ซึ่งร่ำรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้น จนอู้ฟู่กลายเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจเบิร์คเชียร์ ฮาธาเวย์ และขึ้นหิ้งเป็นอภิมหาเศรษฐีท็อปทรีของโลก มีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เขากล้าฟันธงเลยว่า ถ้าอยากจะรวยหุ้น ก็ต้องลงทุนในสไตล์หยุมหยิมแบบผู้หญิง!!

อภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของโลกเริ่มทำกำไรจากการลงทุนตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบ โดยเขาเจียดเงินค่าขนม 25 เซนต์ นำไปซื้อโค้ก 6 แพ็ก แล้วนำมาขายในราคากระป๋องละหนึ่งเหรียญ ได้กำไรกับกิจการแรกเหนาะๆ 20% เขารักการลงทุนและการออมเงินมาแต่เล็กแต่น้อย โดยรับจ๊อบทุกอย่างเพื่อหารายได้พิเศษตั้งแต่ชั้นประถม ทำหมดโดยไม่เคยเกี่ยงงาน ไม่ว่าจะเป็นทำงานร้านขายของชำของปู่, เดินเคาะประตูบ้านขายหมากฝรั่ง, นิตยสารรายสัปดาห์ และโค้ก (เครื่องดื่มโปรดที่ทำกำไรมหาศาลให้เซียนหุ้นอย่างเขาในภายหลัง) เมื่อเข้าเรียนไฮสกูล นักลงทุนรุ่นเยาว์ก็หันไปขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ รวมทั้งขายลูกกอล์ฟ, แสตมป์ และอุปกรณ์ทำความสะอาดรถยนต์ เขายังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เมื่อชักชวนเพื่อนซี้ร่วมลงขันซื้อเครื่องเล่นพินบอลมือสอง ราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ นำไปวางในร้านตัดผม และภายในเวลาไม่กี่เดือน เถ้าแก่น้อยคู่นี้ก็ขยายกิจการไปทั่วเมือง

27 มีนาคม 2555

เส้นทางนักเล่นหุ้น วัยรุ่นเงินล้าน ยุ้ย พรพิมล

สาวน้อยเล่นหุ้น ยุ้ย-พรพิมล รัตนประไพ นักเก็งกำไรมืออาชีพซึ่งมียอดตัวเลขรายได้จากการเล่นหุ้นถึง 7 หลักต่อเดือน และมีดีกรีเป็นถึงระดับอาจารย์ในวัยเพียงแค่ 26 ปีเท่านั้น เงินล้านจึงหาได้ไม่ยากนักสำหรับเธอที่ทุ่มเทตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้เธอรู้แล้วว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนจากประสบการณ์ที่ได้ในตลาดหุ้น

เส้นทางนักเล่นหุ้นเริ่มต้นตั้งแต่เธออายุ 23 ปี หลังจากเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และได้ทำงานอยู่ที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เธอเป็นพนักงานแบงก์ได้ประมาณ 8 เดือน จึงลาออกมาเทรดหุ้น และตอนนี้ก็ยังเทรดหุ้นเรื่อยมา โดยไม่ได้ทำงานประจำอีกเลย...

คิดแบบคนรวย

“คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” คำกล่าวนี้ฝังอยู่ในหัวของนักเล่นหุ้น และเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนมืออาชีพสร้างเส้นทางรวยด้วยวิธีคิดนี้ เช่นเดียวกับสาวนักเล่นหุ้นที่ค้นหาความฝันบนถนนสายนี้เช่นกัน

24 มีนาคม 2555

สมการความรวย..สง่า ตั้งจันสิริ เซียนหุ้นวัย 34

จากเงินก้อนแรก 500,000 บาท เล่นหุ้น 4 ปี วันนี้เขามีพอร์ตแล้ว 50 ล้าน ชายหนุ่มวัย34 'โนเนม' แต่ไม่ 'โนวิชั่น' สง่า ตั้งจันสิริ ...

แท้ที่จริงตระกูลตั้งจันสิริ ไม่ใช่โนบอดี้ในวงการธุรกิจ ทายาทหนุ่มวัย 34 ปี อาสาพาไปรู้จักเคล็ดลับความสำเร็จของตัวเอง ที่วันนี้มีพอร์ตเล่นหุ้นเป็นตัวเป็นตนแล้ว 50 ล้านบาท แม้ไม่มากแต่ถ้าดูจากจุดเริ่มต้นที่ 5 แสนบาทกับระยะเวลาเพียง 4 ปี หนุ่มคนนี้ถือว่าฝีมือ "ไม่ธรรมดา"

สง่า ตั้งจันสิริ มีพื้นฐานครอบครัวอยู่ในระดับเศรษฐีของเมืองไทย บางคนอาจจะคุ้นๆกับนามสกุล "ตั้งจันสิริ" กับ "จันศิริ" ใน บมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ ทียูเอฟ ใช่เลย! เขาเป็นหลานชาย ไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการ และผู้ก่อตั้งทียูเอฟ บริษัทผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก และมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง ธีรพงศ์ จันศิริ ซีอีโอทียูเอฟ ปัจจุบันสง่านั่งแท่นบริหารบริษัทโบรกเกอร์ประกันภัยของตัวเอง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว และรักการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นชีวิตจิตใจ

22 มีนาคม 2555

ปรัชญาเซียนหุ้นพันล้าน

ปรัชญาเซียนหุ้นพันล้าน

เปรย
: จงอย่ารักหุ้น อย่าทะนุถนอมหุ้น หรือกอดหุ้นไว้โดยที่ไร้ผลตอบแทน และสร้างความเจ็บปวด ควรคิดเสมอว่า หากเมื่อใดหุ้นที่ซื้อไว้หรือมีไว้ เมื่อหุ้นตัวนั้นไม่ได้สร้างให้สินทรัพย์เพิ่มพูน มีแต่วันจะถดถอย เราควรตัดสินใจสละขายทิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะต้องล่มจม

1. จงให้ความสำคัญอย่างมากๆ สำหรับการซื้อหรือขายหุ้นแต่ละครั้ง ดังที่รู้ๆ กันอยู่ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ดังนั้น การพิถีพิถันต่อการลงทุนไม่ว่าจะเป็นฝั่งซื้อหรือฝั่งขายทุกครั้งก่อนตัดสินใจที่จะเข้าออก ควรต้องศึกษาในตัวหุ้นให้เข้าถึงอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นมาเป็นไป นั่นเท่ากับว่าเราให้ความสำคัญกับเม็ดเงินที่ลงทุนหรือลงทุนไปแล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่ดี

20 มีนาคม 2555

'ฉาย บุนนาค' เซียนหุ้น 'รุ่นจูเนียร์' กับพอร์ตหุ้น 200 ล้านบาท

'ฉาย บุนนาค' เซียนหุ้น 'รุ่นจูเนียร์' กับพอร์ตหุ้น 200 ล้านบาท ศิษย์เอก 'เสี่ยป๋อง' วัชระ แก้วสว่าง

เปิดตัวนักศึกษาปริญญาโทศศินทร์ วัย 27 ปี กับพอร์ตการลงทุนที่ไม่ธรรมดา ไต่จาก "หลักแสน" กระโดดมาเป็น 200 ล้านบาท ภายในไม่กี่ปี เทรดหุ้นเฉลี่ยเดือนละหลัก "พันล้านบาท"...เส้นทางโลดแล่นในยุทธจักรตลาดทุนของ "ฉาย บุนนาค" ศิษย์เอก "เสี่ยป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง เขาคือเซียนหุ้น "รุ่นใหม่"

ชื่อของ "ฉาย บุนนาค" เริ่มฉายแววจาก "นักลงทุนโนเนม" สู่ "แบรนด์เนม" และเข้ามาอยู่ใน "จอเรดาร์" พาสปอร์ตสู่ความสำเร็จของฉาย ทำให้เกิดประเด็นข้อสงสัยไม่น้อยว่า หนุ่มน้อยรายนี้เป็น "นอมินี" ให้กับใครหรือไม่ เหตุใด! จึงรู้จังหวะเข้าเร็ว-ออกเร็ว ใน "หุ้นบางตัว" ราวกับมีพรายกระซิบ

16 มีนาคม 2555

"Jim Simons" เจ้าของเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

จิม ไซมอนส์ คือเจ้าของ Renaisance Technologies เฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน (เฉพาะ Equity) (สินทรัพย์ $35 billions)

กองทุน Medallion ที่ ไซมอนส์บริหารเป็นเฮ็ดจ์ฟันด์จำพวก Quantitative กล่าวคือ อาศัยโมเดลทางคณิตศาสตร์ในการเทรดล้วนๆ แทนที่จะอาศัยการวิเคราะห์ข่าวหรือปัจจัยพื้นฐาน ทุกอย่างจะถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ ซึ่งพยายามค้นหาช่องว่างในการทำกำไรจากหลักทรัพย์อะไรก็ได้ที่หาได้จากทุก ตลาดที่มี correlation ที่ต่างกัน โดยโมเดลและธุรกรรมทั้งหมดจะถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด เพื่อป้องกันมิให้มีคนเลียนแบบ (ซึ่งจะทำให้โอกาสในการทำกำไรหายไป)

15 มีนาคม 2555

สูตรลงทุน...วิกรม เกษมวุฒิ 37 ปี รวยหุ้น 'ปูนใหญ่' 250 เท่า


ประสบการณ์จริง "วิกรม เกษมวุฒิ" กับการลงทุน “หุ้นปูนใหญ่” เป็นเวลา 37 ปีเพียงตัวเดียวกำไร 250 เท่า บวกเงินปันผลที่ได้รับอีก 4,800% จากเงินเริ่มต้นลงทุนเพียง 100 หุ้น หรือ 16,700 บาท ..

เขาเป็นกรณีตัวอย่างให้กับนักลงทุนที่บอกว่าเงินน้อย ลงทุนไม่ได้ และเป็นกรณีศึกษาให้กับคนที่คิดว่าต้องซื้อขายบ่อยๆถึงจะได้กำไร และเป็นอีกบทสรุปว่าคุณต้องหาหุ้นในดวงใจให้เจอ.....

ประวัติการลงทุนของ "วิกรม เกษมวุฒิ" เจ้าตำรับนักลงทุนที่ใช้สถิติเป็นแนวทางลงทุนในหุ้น เริ่มขึ้นครั้งแรกพร้อมกับตลาดหุ้นที่จัดตั้งขึ้นในปี 2518 โดยหุ้นที่ซื้อตัวเดียวคือ หุ้นปูนใหญ่ (SCC) หรือ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำนวน 100 หุ้นในราคาหุ้นละ 167 บาท ด้วยทุน 16,700 บาท มาถึงวันนี้กินเวลา 37 ปีเต็ม...

ผลจากการ "แตกพาร์" ของหุ้นปูนใหญ่สองครั้ง ทำให้หุ้นเดิมที่มีอยู่ 100 หุ้นที่ราคาพาร์ 100 บาท กลายเป็น 1,000 หุ้นเมื่อลดพาร์เป็น 10 บาท และเพิ่มเป็น 10,000 หุ้นในราคาพาร์ 1 บาทในวันนี้

14 มีนาคม 2555

John D.Arnold หนุ่มมหาเศรษฐี ด้วยการเป็น Gas Trader

John D.Arnold หนุ่มมหาเศรษฐี วัย 33 ปี เจ้าของกองทุน Centaurus เฮ็ดจ์ฟันด์ที่ลงทุนในตลาดก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะ ปีที่แล้ว เขาถูกจัดอันดับให้เป็น Hedge Fund Manager ที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก Jim Simons และ John Paulson

Arnold จบจาก Vanderbilt University และเริ่มต้นทำงานเป็น Gas Trader ที่ Enron เขาสามารถทำกำไรให้ Enronได้ $750 millions ในปีเดียว และได้รับโบนัสเป็นเงินถึง $8 millions เมื่อ Enron ล้มละลาย เขาไม่อยู่ในข่ายที่ถูกตั้งข้อหาใดๆ เกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของบริษัท

13 มีนาคม 2555

ผ่ากลยุทธ์ 'สู้หุ้น' แบบ 'สุมาอี้'

'สุมาอี้' ไม่ใช่แค่ตัวละครเอกในอมตะวรรณกรรม 'สามก๊ก' แต่ 'สุมาอี้' ในที่นี้หมายถึงนามแฝง นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ คอลัมน์นิสต์ชื่อดังและนักเล่นหุ้นผู้ใช้ปัญญา

นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ เป็นคอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "มนุษย์เศรษฐกิจ 2.0" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เป็นนักเขียนที่มีผลงานมาแล้วหลายเล่ม อาทิ ตลาดหุ้น The Survival Kit, วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง, มนุษย์เศรษฐกิจ 3.0, เอาตัวรอดด้วยทฤษฎีเกมส์ เป็นต้น ในขณะที่ชื่อ "สุมาอี้" โด่งดังในหมู่ Value Investor โดดเด่นที่หลักการวิเคราะห์หุ้น โดยมองที่ "มูลค่ากิจการในอนาคต" ตามกระแสหลัก (เมกะเทรนด์) ที่กำลังเติบโต

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดพูดคุยอัพเดตแนวคิดการลงทุนและอนาคตตลาดหุ้นที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในบรรยากาศสบายๆ ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยที่กำลังผันผวนอย่างหนัก

12 มีนาคม 2555

"วอเรน บัฟเฟต" นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก


ในหัวข้อตามรอยเซียนหุ้น คงจะแปลกไม่น้อยถ้าจะไม่มีบุคคลซึ่งถือเป็นต้นแบบของนักลงทุนทั่วโลกผู้นี้ "วอเรน บัฟเฟต" นักลงทุนในหุ้นเน้นคุณค่าหมายเลขหนึ่งของโลก เขาเป็นต้นแบบให้เซียนหุ้นทั้งในเมืองไทยอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิราวรากร และเซียนหุ้นคุณค่าอีกหลายต่อหลายท่านทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบัน นักลงทุนเกือบทุกคนคงไม่มีใครไม่รู้จักเขา.....แม้ตัว วอเรนเอง จะไม่เคยเขียนหนังสือเผยแพร่แนวคิดด้านการลงทุน แต่กลับมีหนังสือมากมายที่ตีแผ่เรื่องราว ทั้งชีวิตส่วนตัว และแนวทางการลงทุนของเขาออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยอาจเป็นเพราะ วอเรน ได้ติดทำเนียบมหาเศรษฐีท็อป 10 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และเคยขึ้นอันดับหนึ่งในปี 2552 แซงเจ้าพ่อไอทีอย่างบิล เกตต์ เรื่องราวและหลักการลงทุนของเขาจึงเป็นเรื่องราวที่ชวนติดตามและน่าศึกษาอย่างยิ่ง

วอเรน บัฟเฟตซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุได้สิบเอ็ดขวบ (ภายหลังเขาให้สัมภาษณ์ว่าเขาเริ่มลงทุนในหุ้นช้าไป) หุ้นที่เขาซื้อ ราคาร่วงลง ทำให้เขาวิตกกังวลมาก เมื่อราคาหุ้นเด้งกลับมาจนมีกำไร เขาจึงขายหุ้นนั้นด้วยความโล่งอก แต่หลังจากนั้น หุ้นดังกล่าวก็ทะยานขึ้นอย่างมากมาย ประสบการณ์ครั้งแรกนั้นทำให้วอเรนจดจำข้อเสียของการขายหุ้นเร็วเกินไป!!!!!

11 มีนาคม 2555

เจสซี่ ลิเวอมอร์ ผู้เป็นตำนานนักเก็งกำไรของโลก


เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ หรือที่คนชอบเรียกเขาว่า J.L.เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจน เขาทะเลาะกับพ่อจนต้องหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุได้ 15 ปี เขาเริ่มงานแรกและน่าจะเรียกว่าเป็นงานเดียวในชีวิตก็คือ เป็นเด็ก “เคาะกระดานหุ้น” หลังจากนั้นเพียงปีเดียว เขาก็เริ่ม “เล่นหุ้น” แต่เนื่องจากมีเงินน้อย เขาจึงเริ่มเล่นตาม “ห้องค้าเถื่อน”ที่รับ “แทงหุ้น”โดยอิงกับราคาหุ้นบนกระดาน โดยการเก็งกำไรครั้งแรกร่วมกับเพื่อนของเขา เขาสามารถทำกำไรได้ถึง $3.12ต่อหุ้น หลังจากนั้นไม่นานเขามีกำไรสะสมถึง $1,000

J.L.เก็งกำไรเก่งมากและทำกำไรจนทำให้ห้องค้าเถื่อนเกือบทุกแห่ง“แบล็กลิสต์”ไม่ให้เขาเข้าเล่นในห้องค้า ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ตลาดหุ้นและเริ่มชีวิตของนักเก็งกำไรเต็มตัว


J.L.ร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นนักเทรดหุ้น เขาไม่เชื่อในการถือหุ้นระยะยาว และในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่เชื่อเรื่องเทคนิคัลซึ่งเขามองว่าเป็นสัญญาณที่สับสน วิธีการของเขาคือการมองมหภาคบวกกับการจดบันทึกการเคลื่อนไหวของหุ้นที่เขาสนใจติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เพื่อทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของรายใหญ่ที่เล่นหุ้นตัวนั้นอยู่ (รวมทั้งพฤติกรรมของตัวเขาเองด้วย) J.L. สามารถจดจำราคาหุ้นที่เขาซื้อในอดีตได้อย่างแม่นยำมาก นอกจากนี้ J.L. เชื่อว่าไม่ว่าบริษัทจะดีเพียงใด เวลาที่ตลาดพัง หุ้นทุกตัวก็จะไป ดังนั้นภาวะตลาดจึงมึความสำคัญเหนือตัวหุ้น

9 มีนาคม 2555

ทฤษฎีสะท้อนกลับ ของ จอร์ส โซรอส ราชาแห่งการเก็งกำไร

วันนี้ขอนำเสนอบทความหนักๆ ให้ผู้อ่านสักนิด......หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ "รวยหุ้นล้นฟ้า ด้วยระบบคิดใหม่" ของคุณพิชัย จาวลา ทำให้นึกถึงทฤษฎี Theory of Reflexivity ของจอร์ส โซรอส เจ้าของฉายาบุรุษผู้ปล้นแบงค์ชาติอังกฤษ (รวมถึงแบงค์ชาติของเรา ^^ ) ที่มีความเหมือนกันมาก จริงๆอาจกล่าวได้ว่า การอธิบายดููเหมือนจะแตกต่างกันในกลวิธี แต่ด้วยประเด็นสำคัญแล้วเป็นสิ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก

สำหรับ Theory of Reflexivity หรือ ทฤษฎีสะท้อนกลับ นั้น โซรอสได้พยายามนำเสนอผ่านหนังสือที่เขาเขียนขึ้นหลายต่อหลายเล่ม แต่ก็ดูเหมือน โซรอสจะมีปัญหาในการอธิบายให้คนอื่นเข้าใจในหลักการของเขา เพราะคนทั่วไปที่อ่านแนวคิดของเขามักจะสับสน หรือเข้าใจแบบงงๆ ทำให้มีคนมากมายพยายามตีความ และอธิบายหลักการนี้ต่อจากจอร์สอีกที ซึ่งแน่นอนว่าคุณพิชัยก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น

โดยทฤษฎีดังกล่าว โซรอสอธิบายว่า ความจริง(objective)และความเห็น(subjective)ต่างส่งผลถึงกันแบบสะท้อนเพราะถูกกระทบด้วย “แรง” ที่โซรอสเรียกว่า feedback ทำให้ ตลาด“มุ่งออก”จากสมดุลตลอดเวลา

8 มีนาคม 2555

ถอดหลักลงทุน 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' 'กิติชัย เตชะงามเลิศ'


กิติชัย เตชะงามเลิศ เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่ชีวิตวัยเด็กเป็นยิ่งกว่านิยาย หลังพ่อแม่เสียชีวิตในเปลวเพลิงพร้อมโรงงานเสื้อยืด ขณะกิติชัยมีอายุ 12 ปี เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคันขณะเรียนชั้น ม.1โรงเรียนเทพศิรินทร์ สามพี่น้องในวัยเยาว์ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดตามลำพังในธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้า โดยไม่มี "เสาหลัก" ของครอบครัว

กิติชัยเรียนกวดวิชาตอนกลางคืนแล้วมาสอบเทียบ ม.ปลาย เอนทรานซ์ติดคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนอันดับ 1ของคณะเทียบเท่าคณะแพทย์ เรียนจุฬาฯได้เทอมเดียวต้องลาออกมาช่วยพี่ชายค้าขาย จึงไปลงเรียนที่รามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ เรียนจบภายใน 3 ปีครึ่งแถมได้ทุนเรียนฟรี 2 เทอมเพราะเรียนดี

ด้วยความที่เป็นคนหัวดีหลังจากจบปริญญาตรีที่รามฯ สอบติด MBA มหาวิทยาลัย "เกรดเอ" พร้อมกัน 3 แห่งที่ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และนิด้า แต่สอบตกสัมภาษณ์ที่ธรรมศาสตร์ จึงตัดสินใจเรียน MBA พร้อมกันที่จุฬาฯ และนิด้า แต่เรียนไปได้แค่เทอมเดียวสู้การเดินทางไม่ไหวจึงเลือกเรียน MBAที่จุฬาฯ เพียงแห่งเดียวจนจบการศึกษา

6 มีนาคม 2555

Review หนังสือ "รวยหุ้นล้นฟ้า ด้วยระบบคิดใหม่"


วันนี้เป็นอีกวันที่นึกคลึ้มอยากเขียน review หนังสือเกี่ยวกับหุ้นที่เพิ่งไปถอยมาสดๆร้อนๆ (ตอนนี้ ซื้อทุกเล่มไม่ไหวแล้ว ออกกันมายังกะดอกเห็ด หรือจะเป็นดังคำกล่าวที่ว่า ดัชนีชี้วัดความแพงของหุ้นก็คือจำนวนหนังสือหุ้นที่ออกใหม่@#$%!^&*)กลับมาเข้าเรื่องหนังสือของเราดีกว่า เดี๊ยวจะไปไกล - -''

หนังสือ "รวยหุ้นล้นฟ้า ด้วยระบบคิดใหม่"เขียนโดยคุณพิชัย จาวลา เป็นนักลงทุน นักธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเจ้าของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริงหรือที่เขาเรียก "ระบบผลประโยชน์"

ในหนังสือเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือที่ฉีกแนวออกไปจากหนังสือหุ้นที่วางขายอยู่พอสมควร เพราะพิชัยได้พยายามชี้ให้ผู้อ่านเห็นถึงความจริงอันลึกลับที่ซ่อนอยู่ในตลาดหุ้น ซึ่งเขากล่าวว่าหากคุณเข้าใจความลับข้อนี้ก็จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างแน่นอน (อ่านมาถึงตรงนี้ เริ่มสับสนว่า นี่เรากำลังอ่านหนังสือหุ้น หรือ หนังสือจิตวิทยาชื่อดัง "the secret" กันแน่....)

แต่พออ่านไปเรื่อยๆ เริ่มเข้าใจประเด็นที่พิชัย ต้องการจะนำเสนอ เขาบอกว่าในตลาดหุ้น แท้จริงแล้วคนที่ได้กำไรจริงๆ มีเพียงกลุ่มคน 3%(เงาที่มองไม่เห็นอย่างพวก hedge fund หรือพวกสถาบันการเงินต่างๆ เป็นต้น) เท่านั้น อีก 95% แน่นอนขาดทุน เพราะไม่งั้นคนรวยคงเต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้ว!!! สาเหตุเป็นเพราะคนส่วนใหญ่มักพยายามอธิบายตลาดหุ้นด้วยเหตุและผล หุ้นขึ้นเพราะ.....หุ้นลงเพราะ...... ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ตลาดหุ้นไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลอย่างเฉพาะหน้า แม้ว่าระยะหลังนักลงทุนทั่วไปจะเริ่มปรับตัวที่จากเดิมเป็นแมงเม่าคือ ซื้อเมื่อข่าวดีออก และขายเมื่อมีข่าวร้าย ซึ่งแมงเม่าที่ทำแบบนี้แน่นอน ตายเรียบ!!!! จนในที่สุดแมงเม่าเริ่มพัฒนาเป็น ซื้อหุ้นเก็บเมื่อมีข่าวร้ายและขายเมื่อมีการประโคมข่าวดีเป็นวงกว้าง ซึ่งก็ดูเหมือนจะใช้ได้ผลดีกว่า แต่พิชัยบอกว่า นี่ก็ยังไม่ใช่คำตอบ???????

'โฉลก สัมพันธารักษ์' นักเทคนิคคัลที่ 'เซียน' เรียก 'อาจารย์'


เปิดตัวเซียนเหนือเซียน 'โฉลก สัมพันธารักษ์' นักเทรดคอมมอดิตี้ ฟิวเจอร์ รายแรกๆ ของเมืองไทย ผู้สร้างความมั่งคั่งด้วย 'เทคนิคัล' ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง


ไม่เคยเปิดตัวออกหน้าสื่อหรือโฆษณาครึกโครม แต่เว็บไซต์โฉลกดอทคอม (Chaloke.com) ก่อตั้งโดยกลุ่มลูกศิษย์ โฉลก สัมพันธารักษ์ หรือ ลุงโฉลก ได้ถูกนำไปบอกต่อกันบนโลกออนไลน์แบบเงียบๆ ถึงหลักสูตรการลงทุนที่เข้มข้นและยาวนานต่อเนื่องกว่า 8 เดือนต่อหนึ่งคอร์ส ที่แม้แต่บรรดาโบรกเกอร์บางแห่งต้องส่ง "เจ้าหน้าที่การตลาด" มาฝากตัวเป็น "ศิษย์" กับท่านอาจารย์



ว่ากันว่ามีผู้จบหลักสูตรจากที่นี้แล้วนับหมื่นราย รวมถึง "หยง" ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ เซียนเทรดคอมมอดิตี้ ฟิวเจอร์ ซึ่งบ่มเพาะวิชาเทคนิคและการวิเคราะห์จิตวิทยามวลชนมาจากลุงโฉลก จนพัฒนาตัวเองไปสู่วิทยากรสอนด้านการใช้เครื่องมือทางเทคนิคที่กำลังมาแรงในตอนนี้


3 มีนาคม 2555

เปิดมุมมองเซียนหุ้นพันล้านกับ "เสี่ยปู่"


ชายวัยกลางคนผู้นี้ มาดสุขุมลุ่มลึก พูดจาด้วยน้ำเสียงที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างดี

ถ้าเอ่ยชื่อ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ก็คงจะไม่มีใครรู้จัก แต่หากบอกว่าเขานี่แหละ"เสี่ยปู่" นักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ที่หลายคนมีมุมมองว่าเขาคือ หนึ่งในมาร์เก็ตเมกเกอร์รายสำคัญในหุ้นบางตัวของตลาดฯ

ย้อนหลังไป 5 -6 ปี ก่อนที่เขาจะเข้ามาสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกในปี2530 เดิมทีเป็นข้าราชการกินเงินเดือน อยู่ที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯในตำแหน่ง ด้านการวางแผนและนโยบาย "ช่วงที่ทำงานราชการผมก็ยังไม่ได้เล่นหุ้น"

หลังจากนั้นก็เริ่มที่ศึกษาเกี่ยวกับตลาดหุ้น และเริ่มลงทุนอย่างเต็มตัว หลังจากที่ลาออกจากการเป็นข้าราชการ ในช่วงแรกเริ่ม มีเงินลงทุนอยู่ไม่เกิน 5 แสนบาท เข้ามาตลาดหุ้นในปี 2530 ซึ่งตรงกับจังหวะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ BLACK MONDAY พอดี เมื่อเข้ามาตลาดช่วงนั้น เขาอาศัยการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรเป็นหลักจนแล้วจนรอด ก็ขาดทุนเหลือทุนเพียง 2 แสนบาท จากนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆ และมีกำไรมาตลอด

1 มีนาคม 2555

กูรูหุ้นพันล้าน "เสียยักษ์" วิชัย วชิรพงษ์


ตอนที่ 1.ทางของเสือ

"...เงินนี่มันแปลก เงิน 1 ล้านบาท คุณจะเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาท ช่วงนี้จะยากมาก แต่จาก 2 เพิ่มเป็น 4 เริ่มง่าย จาก 4 เพิ่มเป็น 8 ยิ่งง่ายกว่า...เรื่องนี้เรื่องจริง" การเดินทาง...ย่อมมีปลายทางฉันใด ชีวิตก็ย่อมมีจุดหมายฉันนั้น ตลอด 20 ปีของการเดินทาง บนเส้นทางที่เรียกว่า "ตลาดหลักทรัพย์" ที่เต็มไปด้วย "หลุมพราง" ของโอกาส ...กว่าจะก้าวมาเป็น "เซียนหุ้นพันล้าน" ชีวิตที่มาไกลเกินฝัน ระหว่างการเดินทางต้องผ่านพบอุปสรรคมานานัปการ "วิชัย วชิรพงศ์" หรือที่รู้จักกันในวงการว่า "เสี่ยยักษ์" รู้ดีว่าระยะทางพิสูจน์ม้า...กาลเวลาพิสูจน์ฝีมือ (คน) ก็จริง แต่ "ม้าแก่" ก็ใช่ว่าจะไม่มีวันโรยรา แม้จะเชื่อว่าอยู่ในสนามรบนี้ต้องอาศัย "ฝีมือ" 70% "โชคชะตา" อีก 30% แต่ใครบ้างจะรู้ว่า ฤดูใบไม้ผลิแห่งโชคชะตา จะผลิบานได้ตลอดไป"ถ้าคุณมี (เงิน) 2,000-3,000 ล้านบาท แล้วคุณจะเลิกมั้ย!" เสียงสะท้อนนี้ก้องขึ้นเรื่อยๆ ในความคิดของ "นายพราน" ที่มีสัญชาตญาณของนักล่ามาอย่างโชกโชน ด้วยเงินทุนเพียง 2 ล้านบาท วันนี้ "เสี่ยยักษ์" ประสบความสำเร็จในเส้นทางของ "เซียนหุ้นพันล้าน" ด้วยความภาคภูมิ เพื่อนๆรายใหญ่ต่างยกนิ้วให้ว่าเสี่ยยักษ์ผู้นี้นี่แหละ "เสือ" ในวงการหุ้นตัวจริง หนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่รู้จักมักคุ้นกันดี "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุลหรือแม้แต่ "หมอยง" ทพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม ก็เติบโตมาในยุคไล่เลี่ยกัน ในห้องขนาดกะทัดรัด ณ ห้องวีไอพี บนชั้น 21 ของตึกอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ทำการโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ


"เล่นให้รวยต้องหาหุ้นในดวงใจให้เจอ" ที่จริงแล้ว "นายพราน" และ "ผู้ช่วย" กำลังแสวงหากำไรจากกฎ High Risk...High Return แสวงหาโอกาสจากความแปรปรวนของประสิทธิภาพตลาด แต่กระนั้นวิชัย วชิรพงศ์ก็ตระหนักว่าการตัดสินใจอะไรบ่อยๆย่อมพลาดท่าให้กับ "ความเสี่ยง" ไม่วันใดก็วันหนึ่ง "ผมอยากจะเลิกจริงๆนะ ไม่ใช่แบบว่าเราสร้างภาพจะเลิก เพราะคนเล่นหุ้นคนหนึ่งเล่นหุ้นมาจากเงินน้อยแล้วประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เคยมีหุ้นระดับ 2-3 พันล้านบาท อาจจะกู้เล่นส่วนหนึ่งเงินสดส่วนหนึ่ง เป็นคุณจะเลิกมั้ย ไม่เลิกก็เล่นน้อยลง เพราะที่ผ่านมาเป็นกำไรของเราทั้งหมดแล้ว" เสี่ยยักษ์ บอกเหตุผลที่อยากจะเลิกเล่นหุ้น "...มันไม่ใช่กำไรแค่ร้อยเท่า คุณมีเงิน "พันล้าน" โตมาจากเงิน "2 ล้าน" มันโตเป็นพันเท่านะ" แม้ฟืนท่อนเล็กๆยังก่อเป็นเพลิงกองโตได้ฉันใด วัวแม้จะตัวใหญ่ แต่ก็ทับเห็บตัวเล็กๆไม่ตาย เสี่ยยักษ์ให้กำลังใจ...อย่าคิดว่าคุณเสียเปรียบรายใหญ่ ทางรวยของคุณ "มี"


'ปิยะพันธ์ วงศ์ยะรา' เซียนหุ้น 'ไม่เต็มบาท'


เปิดแนวคิดกำไรหุ้น 5 เด้ง 'ปิยะพันธ์ วงศ์ยะรา' จากอดีตวิศวกรเดินสู่เส้นทางนักลงทุนผู้นิยมหุ้น 'ไม่เต็มบาท' ตั้งเป้าพอร์ตโต 10 เท่า ภายใน 5 ปี

ปิยะพันธ์ เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นนักลงทุนที่ชอบซื้อหุ้น "ไม่เต็มบาท" เคยมีอาชีพเป็น "วิศวกร" ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งทำงานอยู่กว่า 8 ปี พอประเทศไทยเจอวิกฤติต้มยำกุ้ง งานประจำที่ทำอยู่เริ่มมีความไม่แน่นอนต้องถูกย้ายไซต์งานบ่อยครั้งขึ้น จนต้องเดินเข้าไปหาหัวหน้าขอปรับเปลี่ยนสายงานมาเป็นฝ่ายจัดซื้อแทน ทำให้เริ่มสนใจการลงทุนตั้งแต่ตอนนั้น

“ผมได้มาเรียนรู้เรื่องธุรกิจมากขึ้น เช่น การสั่งซื้อเหล็กล่วงหน้าเขาทำอย่างไรไม่ให้ขาดทุน ทำไป 3-4 ปีก็เริ่มสนใจการลงทุน ทำงานไปแอบเล่นหุ้นไปบ้าง เริ่มต้นจากศึกษาด้วยตัวเองทุกอย่าง ตอนนั้น (ช่วงปี 2545) ตลาดหุ้นเพิ่งขึ้นมาตั้งแต่ 400-500 จุด คนเริ่มเข้ามาเล่นหุ้นกันเยอะมาก”

เข้ามาเล่นหุ้นใหม่ๆ ยอมรับว่านิยม "เล่นหุ้นร้อน" ชอบหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาตามข่าว แต่ตอนนั้นหุ้นขึ้นทุกวันได้กำไรทุกวันก็เริ่มมั่นใจแม้จะได้ไม่เยอะ ต่อมาเริ่มเห็นความจริงว่าบ่อยครั้งที่ "เจ้ามือ" (เจ้าของหุ้น) พยายามประโคมข่าวเพื่อ "ดันราคาหุ้น" แต่หลายครั้งก็ไม่เป็นตามนั้น (หุ้นไม่ขึ้น) หลังจากเคยได้กำไรทุกวันก็เริ่ม "ขาดทุน" และ "ขาดทุนมากขึ้น" ส่วนหนึ่งยอมรับว่า "เกิดความโลภ" ต้องการได้กำไรเยอะๆ ยิ่งอยากรวยเร็วก็ "ยิ่งเสีย"