19 พฤษภาคม 2558

ทิ้งรายได้เดือนละ 2 แสน สู่เส้นทางอิสระภาพทางการเงิน ภาสุชา อุตรวณิช

หนึ่งในเซียนหุ้นรุ่นใหม่ “ภา” ภาสุชา อุตรวณิช คุณแม่ยังสาววัย 34 ปี อดีตเจ้าของธุรกิจขนส่ง มีเงินสดไหลเข้าบริษัทเดือนละกว่า 200,000 บาท แต่ภา เลือกที่จะปิดธุรกิจส่วนตัว เพื่อออกมาลงทุนในตลาดหุ้นแนว Value Investor (วีไอ) ภายใต้พอร์ตของสามี ก่อนจะมาเปิดพอร์ตเป็นของตัวเอง ภา ยึดแนวทางการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม หวังผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 15% ที่ผ่านมาพอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างน่าพอใจ 

เจ้าของนามแฝง "KIRI" ในเวบไซต์ไทยวีไอ ย้อนประวัติส่วนตัวให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า บังเอิญมีโอกาสได้คุยกับคุณอาของสามี เขาทำธุรกิจขนส่งดูน่าสนใจจึงตัดสินใจขายบ้านย่านศรีราชาที่ไม่ได้อยู่อาศัยได้เงินมาล้านกว่าบาท แล้วไปยืมเงินพ่อแม่ของแฟนมาอีก 2 ล้านกว่าบาท เพื่อมาซื้อรถบรรทุก 2 คัน ทำธุรกิจขนส่งสินค้า มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ตอนนั้นมีพนักงาน 7 คน"ธุรกิจประสบความสำเร็จมาก มีเงินสดเข้าบริษัททุกเดือน คิดเป็นรายได้ตก 200,000 กว่าบาทต่อเดือน ตอนนั้นอายุ 27-28 ปี ทำได้เกือบ 2 ปี ก็เลิก เริ่มทำงานยากขึ้นมีคนอยากทำธุรกิจนี้ค่อนข้างมาก บางคนไม่จ้างพนักงานทำเองทั้งหมดทำให้เขามีต้นทุนไม่สูง อีกอย่างเริ่มสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว


"เธอเล่าถึงจุดเริ่มต้นเข้าสู่ตลาดหุ้นว่า สามีและเพื่อนๆนักลงทุนชวนไปฟังงานสัมนา ตั้งแต่สมัยที่ มนตรี นิพิฐวิทยา (อดีตคอลัมนิสต์ Value Way) เป็นประธานเวบไซต์ไทยวีไอ ฟังเสร็จรู้สึกประดับใจ มีคนกลุ่มหนึ่งสนใจในสิ่งเดียวกันทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้ทำงานหรือเรียนด้วยกัน แต่เขาเหล่านั้นสามารถนั่งคุยเรื่องเดียวกันได้อย่างออกรสชาติก่อนจะมาฟังงานสัมมนามีโอกาสได้อ่านหนัง “ตีแตก” ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร อ่านจบรู้สึก..เฮ้ย!! การลงทุนมันเป็นวิธีทำงานอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเก็งกำไร 

อาจารย์จะสอนวิธีการเลือกหุ้นว่า ต้องเลือกธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง และต้องมีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าธุรกิจของเขาจะสร้างกำไร ดร.นิเวศน์ ยังสอนให้รู้จักคำว่า Margin of Safety (ส่วนเผื่อความปลอดภัย) สอนวิธีประเมินมูลค่าแบบง่ายๆ ด็อกเตอร์ทำให้ภารู้ว่า..ถึงเราไม่ได้เก่งเลข แต่ถ้าเข้าใจธุรกิจ ก็สามารถพัฒนาตัวเองด้านการลงทุนได้เหมือนกันเมื่อเริ่มคุ้นเคยกับการลงทุนมากขึ้น ด้วยการเดินสายไปฟังงานสัมมนาต่างๆ รวมถึงอ่านกระทู้ในห้อง "ร้อยคนร้อยหุ้น" ในเวบไซต์ ไทยวีไอ เรียกว่าหาความรู้ให้มากที่สุด หลังจากนั้น 6 เดือน สามีก็ตัดสินใจลงทุน น่าจะเป็นช่วงสิ้นปี 2549 ซึ่งภาก็ลงทุนร่วมด้วย โดยไปเปิดพอร์ต วงเงิน 200,000 บาท นำเงินที่ได้จากการทำธุรกิจขนส่งมาลงทุน

เธอเล่าว่า ช่วงแรกๆ มีหุ้นในพอร์ต 2-3 ตัว ภาเลือกเองจริงๆ หุ้นถ่านหินไซด์เล็ก เพราะเห็นว่าหุ้นพลังงานช่วงนั้นขึ้นมาเยอะมาก หุ้น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เป็นตัวแรกที่สามีภรรยาช่วยกันเลือก เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมาก มูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2551 นอนกินเงินปันผลอย่างเดียวก็สามารถเลี้ยงคนทั้งครอบครัวได้แล้วกลยุทธ์หลักๆ เน้นซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตปีละ 20% เช่น กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ และอุตสาหกรรมต่างๆ ฯลฯ ที่เหลือจะดูคุณภาพของหุ้น เช่น ความสามารถในการดำเนินกิจการ รวมถึงดูมาร์จิ้น (กำไรขั้นต้น) ด้วย แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องมีระดับเท่าไร โดยจะนำมาร์จิ้นของบริษัทที่สนใจไปเทียบกับคู่แข่งว่าทำดีกว่าหรือเปล่า! จากนั้นจะดูพวกค่าใช้จ่ายว่าทำได้ดีหรือไม่ และดูว่าธุรกิจใหม่ๆ สาขาใหม่ โปรโมชั่น หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เขาทำจะสามารถทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนได้หรือไม่

ในระหว่างที่ลงทุน Full Time เธอมีอะไรให้ทำอีกอย่าง คือสละเวลา 5-6 เดือน ไปสอนหนังสือในโรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนานฤมิตร อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี แต่ก็ยังดูแลพอร์ตเหมือนเดิม นอกจากนั้นมีโอกาสไปทำงานเป็นเลขาใน “สยามมิชลิน” ปีกว่า แต่ก็ลาออกตอนปี 2554 เพราะพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้นต้องมีคนดูแล"ภาเริ่มเปิดพอร์ตชื่อตัวเองตอนปี 2552 ไม่ได้ดังแล้วแยกวงนะ! พอร์ตของครอบครัวก็ยังดูแลอยู่เหมือนเดิม ตอนนั้นเปิดพอร์ตกับ บล.ภัทร กลยุทธ์เน้นกระจายการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม วิธีการลงทุนส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงตรงที่ไม่เน้นบริษัทที่เติบโตปีละ 20% แล้ว แต่จะชอบบริษัทที่มีผลประกอบการขยายตัวสม่ำเสมอ และรายได้ไม่ผันผวน ภาจะทำตารางประมาณการผลประกอบการล่วงหน้า 1-2 ปี ถ้าข้อมูลมากจะทำยาวกว่านั้น เมื่อเรามีข้อมูลจะทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

"คุณแม่วัย 34 ปี บอกว่า ตอนนี้มีหุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล และหุ้นพร็อพเพอร์ตี้ ที่เหลือเป็นหุ้นที่กำลังเติบโต ถามว่า “รัก” กลุ่มไหนมากสุด เวลานี้ต้องยกให้ "หุ้นค้าปลีก" แม้ค่า P/E จะสูงมาก แต่ถ้าถือยาวผลตอบแทนโอเคเลย เพราะความเสี่ยงต่ำ แถมผลประกอบการยังเติบโตสม่ำเสมอที่สำคัญนักลงทุนสามารถติดตามความ “ฮอต” ของบริษัทได้จากการเดินไปตามสาขาต่างๆ ถ้าคนเข้ามาซื้อของเยอะ ขายดีแน่นอน เมื่อก่อนเคยเห็นหุ้นค้าปลีกบางตัวมีผลประกอบการขยายตัวสูงถึง 50% ฉะนั้นการที่ ดร.นิเวศน์ เคยบอกว่า หุ้นกล่มุนี้ยังคงน่าลงทุนมันถูกต้องแล้ว 

"หุ้นค้าปลีกเปรียบเป็นหุ้นสามัญประจำบ้านที่ทุกครอบครัวต้องมี” (หัวเราะ)หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เป็นอีกตัวที่ “หลงรัก” ธุรกิจที่อยู่กับความจำเป็นของคน เราป่วยรักษาตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว รพ.เอกชนในเมืองไทยมีอนาคตมากๆ คนมีรายได้สูงขึ้นเขาอยากซื้อความสะดวกสบาย อยากซื้อเวลา จะให้ไปนั่งรอคิวโรงพยาบาลของรัฐบาลคงไม่ไหว ปกติธุรกิจโรงพยาบาลขนาดใหญ่จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี

เธอยังชอบหุ้นพร็อพเพอร์ตี้ บริษัทขนาดใหญ่มีแนวโน้มจะกินมาร์เก็ตแชร์รายเล็กๆอีกมาก แต่ละเจ้าเขาเก่งเรื่องการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค อีกอย่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก แต่จะเกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ ทำให้ค่อนข้างปลอดภัย ถ้าจำเป็นต้องซื้อบ้าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องซื้อถามว่าวันนี้มูลค่าพอร์ตหลักอะไร เธอหัวเราะก่อนบอกว่า ผลตอบแทนทุกวันนี้เป็นที่น่าพอใจมาก ทั้ง 2 พอร์ต (พอร์ตชื่อสามีและของตัวเอง) เติบโตทุกปีเฉลี่ย 15% ขึ้นไป พอร์ตหลักอะไรมันไม่สำคัญแล้วละ! ขอแค่สามารถเลี้ยงคนในครอบครัวได้ก็พอใจแล้ว ตอนนี้ทั้ง 2 พอร์ตมีหุ้นรวมกันจนจะกลายเป็น SET50 อยู่แล้ว เรามองพอร์ตของครอบครัวเป็นกองทุน ถ้ามั่นใจในการทำธุรกิจ และวิธีการทำรายได้ของบริษัทก็ลงทุนเลย แม้จะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะมีคนมาเห็นคุณค่าเหมือนที่เราเห็นก็ตามหุ้นทุกตัวเราคัดสรรมาดีแล้ว แต่ในพอร์ตจะมีหุ้น 2 เกรด คือ ประเภท "ดิวิชั่น 1" และ "ดิวิชั่น 2" พวกเกรด 2 จะเปลี่ยนเป็น 1 ได้หรือไม่ ก็เป็นไปได้ แต่คงไม่ใช่ซูปเปอร์สต็อก เราแบ่งหุ้น "ดิวิชั่น 1" และ "ดิวิชั่น 2" อย่างละครึ่ง แบบ 1 เรามองว่าธุรกิจมั่นคง รายได้ไม่ผันผวนมาก ทำธุรกิจอิงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้บริหารต้องเป๊ะ! (เก่ง) มาก ธรรมาภิบาลเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม  ส่วนดิวิชั่น 2 เป็นพวกหุ้น "เทิร์นอะราวด์" และหุ้น "อันเดอร์ แวลู" ธุรกิจงั้นๆ

เซียนหุ้นวีไอ ทิ้งท้ายว่า ตั้งแต่ลงทุนในตลาดหุ้น ได้บทเรียนการลงทุนหลายเรื่อง โดยเฉพาะในช่วงเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ มันสอนให้เรารู้จักรับมือ ช่วงนั้นทุกคนเป็นเหมือนกันหมด คือราคาหุ้นลงมาเยอะมาก สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เราต้องคุมอารมณ์ให้อยู่ อย่าทำให้ข่าวร้ายมาทำให้เสียใจจนล้มเลิกการลงทุน ที่สำคัญเราต้องเก็บใจให้ปลอดภัยจากตลาดหุ้นเมื่อหุ้นมันลงมาขนาดนั้น เวลาดัชนีและหุ้นกลับตัวมันจะขึ้นแรง ฉะนั้นเมื่อมีสมมติฐานว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ก็ควรกลับไปดูว่า ธุรกิจอะไรไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ ส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจที่มีรายได้จากการบริโภคภายในประเทศ ตอนนั้นก็เจอบริษัทที่ยอดขายไม่ได้รับผลกระทบเลย เป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์บางตัว และค้าปลีก“อยากฝากบอกนักลงทุนว่า ให้มองการลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจจริงๆ มองไปในรูปแบบระยะยาว เพราะเราจะได้เห็นว่า บริษัทนั้นมีการเติบโตแบบที่คาดการณ์หรือไม่...อย่าใจร้อนขายก่อน จงอย่ามองตลาดหุ้นเป็นเพียงหน่วยลงทุน ไม่เช่นนั้นจะหาความสุขไม่ได้เลย” เซียนหุ้นวัย 34 ปี กล่าวเตือน


ที่มา กรุงเทพธุรกิจ - 23 ธ.ค. 55

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น