11 มีนาคม 2555

เจสซี่ ลิเวอมอร์ ผู้เป็นตำนานนักเก็งกำไรของโลก


เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ หรือที่คนชอบเรียกเขาว่า J.L.เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจน เขาทะเลาะกับพ่อจนต้องหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุได้ 15 ปี เขาเริ่มงานแรกและน่าจะเรียกว่าเป็นงานเดียวในชีวิตก็คือ เป็นเด็ก “เคาะกระดานหุ้น” หลังจากนั้นเพียงปีเดียว เขาก็เริ่ม “เล่นหุ้น” แต่เนื่องจากมีเงินน้อย เขาจึงเริ่มเล่นตาม “ห้องค้าเถื่อน”ที่รับ “แทงหุ้น”โดยอิงกับราคาหุ้นบนกระดาน โดยการเก็งกำไรครั้งแรกร่วมกับเพื่อนของเขา เขาสามารถทำกำไรได้ถึง $3.12ต่อหุ้น หลังจากนั้นไม่นานเขามีกำไรสะสมถึง $1,000

J.L.เก็งกำไรเก่งมากและทำกำไรจนทำให้ห้องค้าเถื่อนเกือบทุกแห่ง“แบล็กลิสต์”ไม่ให้เขาเข้าเล่นในห้องค้า ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ตลาดหุ้นและเริ่มชีวิตของนักเก็งกำไรเต็มตัว


J.L.ร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นนักเทรดหุ้น เขาไม่เชื่อในการถือหุ้นระยะยาว และในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่เชื่อเรื่องเทคนิคัลซึ่งเขามองว่าเป็นสัญญาณที่สับสน วิธีการของเขาคือการมองมหภาคบวกกับการจดบันทึกการเคลื่อนไหวของหุ้นที่เขาสนใจติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เพื่อทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของรายใหญ่ที่เล่นหุ้นตัวนั้นอยู่ (รวมทั้งพฤติกรรมของตัวเขาเองด้วย) J.L. สามารถจดจำราคาหุ้นที่เขาซื้อในอดีตได้อย่างแม่นยำมาก นอกจากนี้ J.L. เชื่อว่าไม่ว่าบริษัทจะดีเพียงใด เวลาที่ตลาดพัง หุ้นทุกตัวก็จะไป ดังนั้นภาวะตลาดจึงมึความสำคัญเหนือตัวหุ้น



J.L.เป็น millionaire ได้ตั้งแต่ก่อนอายุครบ 30 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงมากจากการ short หุ้นช่วงตลาดหุ้น crash ปี 1907 ซึ่งเขาทำได้กำไรได้มากถึง 3 ล้านเหรียญในวันเดียว (เทียบเท่ากับเงิน $60 ล้านในปัจจุบัน) ในเวลานั้น JP Morgan ต้องติดต่อไปยังเขาเพื่อขอร้องให้เขาหยุด short หุ้น เพื่อสกัดวิกฤตการเงินมิให้ลุกลาม ในปี 1929 เขาก็ short หุ้นครั้งใหญ่อีกครั้งทำให้เขาได้กำไรมากกว่า $100 ล้าน

J.L.เป็นบุคคลที่เคยเป็นเศรษฐีมากกว่าหนึ่งครั้งในชีวิต เพราะเขาเคยหมดตัวหลายครั้งและสามารถกลับมาเป็นเศรษฐีได้ใหม่ เขากล่าวว่า เขามักจะหมดตัว เพราะไม่สามารถอดใจที่จะไม่ฝ่าฝืนกฏเหล็กในการเทรดหุ้นของตัวเองได้

ในชีวิตส่วนตัวของ J.L.เป็นคนเจ้าชู้ เขามีภรรยาหลายคน ภรรยาคนแรกของเขาเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายมาก ลูกของเขาถึงสามคนจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ครอบครัว J.L.มีปัญหามาอย่างต่อเนื่องจนทำให้เขาเริ่มมีอาการซึมเศร้าเมื่อเข้าสู่บั้นปลายชีวิตและยิงตัวตายเมื่ออายุได้ 63ปี โดยได้เขียนโน็ตสั้นๆไว้ก่อนตายว่า "ล้มเหลว" โดยในช่วงก่อนตายเขาเพิ่งจะสูญเสียเงินจำนวนมากในตลาดหุ้นและยังไม่สามารถทำกำไรกลับคืนมาได้ อย่างไรก็ตาม หลังการเสียชีวิตของเขาพบว่า เขายังคงมีทรัพย์สินเหลืออยู่ประมาณ $5 ล้าน!!!


แม้ว่า บั้นปลายชีวิตของ J.L.จะจบลงด้วยความเศร้าสลด แต่ทั่วโลกต่างก็ยอมรับว่า ถ้าวอร์แรน บัฟเฟตต์ คือนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก นักเก็งกําไรของโลกที่เป็นตำนานและควรค่าแก่จดจำ ก็คือ Jesse Livermore ดังนั้นการเรียนรู้แนวคิดของเขาจึงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมาก.....

J.L. เคยเขียนไว้ในบันทึกของเขาว่า การจะรวยด้วยตลาดหุ้นอย่างที่เขาทำได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิด เขาบอกว่าตลาดหุ้นคือที่ที่อันตรายมากสำหรับ คนที่ไม่ชอบทำการบ้าน คนโง่ คนชอบรวยทางลัด และคนที่อารมณ์ไม่มั่นคง เขากล่าวว่า คนที่คิดว่าจะรวยทางลัดด้วยตลาดหุ้นเปรียบเสมือนคนที่หวังจะรวยเร็วๆ ด้วยการยึดอาชีพเป็นหมอหรือทนายความ เพราะจริงๆ แล้ว นักลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นเหมือนอาชีพอย่างหนึ่ง ถ้าจะรวยได้จะต้องทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเท่านั้น

เขาเล่าว่าทุกครั้งที่เขาไปร่วมงานเลี้ยง ผู้คนมักจะวิ่งเข้ามาถามเขาเสมอว่าจะรวยเร็วๆ ด้วยตลาดหุ้นได้อย่างไร ในช่วงแรกๆ เขาพยายามอธิบายให้คนเหล่านั้นฟังว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่หลังๆ เขาเพียงแต่บอกคนเหล่านั้นว่า เขาไม่รู้ เขารู้สึกเบื่อหน่ายความคิดของคนทั่วไปที่คิดว่าการร่ำรวยด้วยตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ

J.L.เขียนวิธีการสำหรับคนที่มุ่งมั่นจะเป็นยึดการลงทุนเป็นอาชีพจริงๆ แบบเดียวกับเขาไว้ในหนังสือชื่อ How to Trade in Stocks

เขากลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งในช่วงไม่หลายปีมานี้เนื่องจากหนังสือชื่อ Reminescence of a stock operator ซึ่งเป็นหนังสือที่นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งเขียนเล่าประสบการณ์การเทรดหุ้นในชีวิตของ J.L.จากการสัมภาษณ์เขาอย่างลับๆ โดยปกปิดชื่อจริงของเขาไว้ ได้ถูกนำมาตีพิมพ์อีกครั้ง ทำให้ตำนานของเขากลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนรุ่นใหม่ในอีก 80 ปีต่อมา

By: 2Binvestor
เครดิต : บางส่วนจากบทความของ ดร.นิเวศน์ และสุมาอี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น