28 มีนาคม 2555

อยากรวยหุ้นต้องลงทุนแบบผู้หญิง

ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะมองว่าผู้หญิงเป็นเพศอ่อนแอ ละเอียดหยุมหยิมเกินไป และไม่เหมาะกับการทำงานใหญ่ที่ต้องอาศัยความเด็ดขาดในการตัดสินใจ แต่สำหรับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่สัญชาติอเมริกัน วัย 80 ปี ซึ่งร่ำรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้น จนอู้ฟู่กลายเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจเบิร์คเชียร์ ฮาธาเวย์ และขึ้นหิ้งเป็นอภิมหาเศรษฐีท็อปทรีของโลก มีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เขากล้าฟันธงเลยว่า ถ้าอยากจะรวยหุ้น ก็ต้องลงทุนในสไตล์หยุมหยิมแบบผู้หญิง!!

อภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของโลกเริ่มทำกำไรจากการลงทุนตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบ โดยเขาเจียดเงินค่าขนม 25 เซนต์ นำไปซื้อโค้ก 6 แพ็ก แล้วนำมาขายในราคากระป๋องละหนึ่งเหรียญ ได้กำไรกับกิจการแรกเหนาะๆ 20% เขารักการลงทุนและการออมเงินมาแต่เล็กแต่น้อย โดยรับจ๊อบทุกอย่างเพื่อหารายได้พิเศษตั้งแต่ชั้นประถม ทำหมดโดยไม่เคยเกี่ยงงาน ไม่ว่าจะเป็นทำงานร้านขายของชำของปู่, เดินเคาะประตูบ้านขายหมากฝรั่ง, นิตยสารรายสัปดาห์ และโค้ก (เครื่องดื่มโปรดที่ทำกำไรมหาศาลให้เซียนหุ้นอย่างเขาในภายหลัง) เมื่อเข้าเรียนไฮสกูล นักลงทุนรุ่นเยาว์ก็หันไปขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ รวมทั้งขายลูกกอล์ฟ, แสตมป์ และอุปกรณ์ทำความสะอาดรถยนต์ เขายังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เมื่อชักชวนเพื่อนซี้ร่วมลงขันซื้อเครื่องเล่นพินบอลมือสอง ราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ นำไปวางในร้านตัดผม และภายในเวลาไม่กี่เดือน เถ้าแก่น้อยคู่นี้ก็ขยายกิจการไปทั่วเมือง



เขายังฉายแววความอัจฉริยะ เมื่อทำเรื่องยื่นขอเงินภาษีคืนด้วยตนเอง ตั้งแต่อายุ 14 ปี โดยนำค่าใช้จ่ายจากจักรยานคู่ชีพที่ใช้ทำมาหากินไปหักลดหย่อนภาษี และนำเงิน เก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์มาต่อยอดการลงทุนให้งอกเงยอีกทางโดยซื้อ ไร่เล็กๆเป็นของตัวเอง

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น “คุณป๋าวอร์เรน” เริ่มซื้อหุ้นตัวแรกตอนอายุ 11 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นนักลงทุนอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ กระนั้น ทุกวันนี้คุณป๋ายังบ่นอุบว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มเล่นหุ้นช้าเกินไปด้วยซ้ำ มิฉะนั้น พอร์ตการลงทุนคงใหญ่โตมหาศาลกว่าที่เป็นอยู่

เซียนหุ้นระดับตำนานของโลกเคยเปรียบสไตล์การลงทุนของตนเองว่า เหมือนสิงโตที่ซุ่มอยู่ในพงหญ้าเพื่อรอคอยเหยื่อ และพร้อมกระโดดตะครุบเมื่อเหยื่อเข้ามาใกล้รัศมีกงเล็บ ทัศนะนี้สะท้อนถึงสไตล์การลงทุนแบบช้าแต่ชัวร์ของ“คุณป๋าวอร์เรน” ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างผลกำไรในระดับน่าพอใจ โดยไม่เสี่ยงมากนัก ขณะเดียวกัน ก็ให้น้ำหนักความสำคัญกับพื้นฐาน และมูลค่าหุ้นที่แท้จริง เพื่อประเมินผลประกอบการในอนาคต แนวคิดนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของการลงทุนแนวเน้นคุณค่า หรือ VI ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน

แม้จะร่ำรวยหุ้นและติดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก “คุณป๋าวอร์เรน” ก็ยังคงใช้ชีวิตสมถะและพอเพียง ไม่ต่างจากสไตล์การลงทุนที่คอนเซอร์เวทีฟ โดยปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆหลังเดิม ขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ซึ่งซื้อไว้ตอนแต่งงาน เขาชอบขับรถไปไหนมาไหนด้วยตนเอง และไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว ทั้งๆที่เป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินเจ็ตใหญ่ที่สุดในโลก ยามว่างจากการลงทุน กิจกรรมโปรดของเซียนหุ้นผู้นี้ก็แสนจะธรรมดา เขาชอบอบข้าวโพดคั่วทานเองที่บ้าน พร้อมกับนั่งดูโทรทัศน์รายการโปรด ที่เหลือเชื่อมากๆก็คือ คุณปู่ของเราไม่ใช้มือถือ ไม่มีคอมพิวเตอร์ และไม่พกบัตรเครดิต

ในหนังสือเล่มล่าสุด Warren Buffet Invests Like a Girl And Why You Should Too ซึ่งเพิ่งวางขายเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จุดประเด็นร้อนๆว่า ถ้าอยากรวยหุ้นเหมือน “วอร์เรน บัฟเฟต์” ก็ต้องลงทุนแบบผู้หญิงๆ ใช้เวลาศึกษาพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ใช่ผลีผลามวิ่งไล่ซื้อหุ้นที่กำลังฮอตแบบพวกนักลงทุนผู้ชาย คุณป๋ายังยกผลการวิจัยหลายสำนัก ที่ศึกษาจากนักลงทุนชายและหญิง ได้ข้อสรุปว่า ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะมั่นใจในตัวเองสูงเกินเหตุ และชอบเสี่ยง ทำให้เกิดความผิดพลาดด้านการลงทุนได้ง่าย ขณะเดียวกัน ผู้ชายก็มือซนขยันเทรดหุ้นเข้าออกถี่กว่าผู้หญิงถึง45% ซึ่งคุณป๋าเชื่อว่าเป็นนิสัยไม่ดี เนื่องจากยิ่งเทรดหุ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับผลตอบแทนสุทธิน้อยลงเท่านั้น เพราะต้องเสียทั้งค่าคอมมิชชั่น และภาษี

ข้อได้เปรียบอีกอย่างของการลงทุนหยุมหยิมแบบผู้หญิงก็คือ ผู้หญิงมีความอดทนต่อการรอคอยมากกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดของการลงทุนในตลาดหุ้น ขณะเดียวกัน ผู้หญิงยังใช้ความรู้สึกนิยมชมชอบส่วนตัวในการเลือกซื้อหุ้นแทนที่จะประเมินจากตัวเลขเพียวๆแบบผู้ชาย ตามทัศนะของเซียนหุ้นคนดังแล้ว บริษัทที่มีคนชื่นชอบและรู้สึกดีด้วย ก็น่าจะมีอนาคตสดใสและไปได้ไกล อย่างน้อยก็ไม่ถูกฟ้องร้อง หรือเป็นคดีความจนต้องปิดกิจการ และด้วยความเป็นผู้หญิงนี่เอง เมื่อปักใจรักเข้าแล้ว ถึงหุ้นจะแกว่งตัวลงขนาดไหน ก็ไม่ไขว้เขว เพราะมั่นใจว่ามาถูกทาง!!

เครดิต : ไทยรัฐออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น