3 มีนาคม 2555

เปิดมุมมองเซียนหุ้นพันล้านกับ "เสี่ยปู่"


ชายวัยกลางคนผู้นี้ มาดสุขุมลุ่มลึก พูดจาด้วยน้ำเสียงที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างดี

ถ้าเอ่ยชื่อ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ก็คงจะไม่มีใครรู้จัก แต่หากบอกว่าเขานี่แหละ"เสี่ยปู่" นักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ที่หลายคนมีมุมมองว่าเขาคือ หนึ่งในมาร์เก็ตเมกเกอร์รายสำคัญในหุ้นบางตัวของตลาดฯ

ย้อนหลังไป 5 -6 ปี ก่อนที่เขาจะเข้ามาสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกในปี2530 เดิมทีเป็นข้าราชการกินเงินเดือน อยู่ที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯในตำแหน่ง ด้านการวางแผนและนโยบาย "ช่วงที่ทำงานราชการผมก็ยังไม่ได้เล่นหุ้น"

หลังจากนั้นก็เริ่มที่ศึกษาเกี่ยวกับตลาดหุ้น และเริ่มลงทุนอย่างเต็มตัว หลังจากที่ลาออกจากการเป็นข้าราชการ ในช่วงแรกเริ่ม มีเงินลงทุนอยู่ไม่เกิน 5 แสนบาท เข้ามาตลาดหุ้นในปี 2530 ซึ่งตรงกับจังหวะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ BLACK MONDAY พอดี เมื่อเข้ามาตลาดช่วงนั้น เขาอาศัยการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรเป็นหลักจนแล้วจนรอด ก็ขาดทุนเหลือทุนเพียง 2 แสนบาท จากนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆ และมีกำไรมาตลอด


ภายหลังจากที่พอร์ตการลงทุนขยายขึ้นมาเป็น 100 ล้านบาท แล้วมานั่งคิดว่าจะทำให้โตกว่านี้ คงจะไม่ได้แน่ ถ้าตราบใดยังเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรอยู่ นั่นเป็นจุดประสงค์ที่ทำให้เขาต้องหันมาเลือกเล่นหุ้นพื้นฐานดี P/E ต่ำ นักลงทุนไม่ให้ความสนใจ

เริ่มเล่นหุ้นก็เก็งกำไรแล้ว

"การลงทุนในช่วงแรกๆ ก็เป็นนักเก็งกำไรแล้ว เพราะสมัยนั้นเล่นหุ้นตัวที่แข็งกว่าตลาด ตอนนั้นเล่นหุ้นไม่มีหลอกเลย ถ้าบอกวันรุ่งขึ้นก็ขึ้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นหลักทรัพย์ที่ขึ้นเยอะมาก แล้วก็มีวอร์แรนต์ ตอนนี้เราก็ดูตลาดเอาว่าเล่นตัวไหน ตัวไหนที่แข็งก็จะซื้อตัวนั้น ตอนนั้นนักเก็งกำไรจะเล่นทางเดียวกัน เก็งกำไรกันจริงๆ ไม่มีพื้นฐาน เศรษฐกิจไม่เกี่ยวเลย ตัวไหนแข็งก็ซื้อ เล่น 1-2 ตัวก็เต็มพอร์ต"

สมัยนั้นหุ้นดังๆ จะมีวอร์แรนต์ของ บล. เอกธำรง แล้วก็มีวอร์แรนต์ของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ (IFCT) โดยเฉพาะในช่วงประกาศลอยค่าเงินบาท (ปี 2540) ตอนนั้นหุ้นแบงก์ขึ้นหมด ผมทำกำไรได้ถึง 53 ล้านบาท พอร์ตลงทุนตอนนั้นโตประมาณ 100 ล้านบาท

"ตอนนั้นเป็น pure speculate เลย เราซื้อทั้งๆ ที่รู้ว่า IFCT-W มีมูลค่าเหลือศูนย์แน่ๆ แต่บรรยากาศอารมณ์ตอนนั้นพาไปให้ต้องซื้อติดพอร์ตไว้ ผมก็เติบโตมาจากการเก็งกำไร แต่จุดที่ทำให้ผมเปลี่ยน คือ มาซื้อหุ้น KK (เกียรตินาคิน) ที่เริ่มซื้อที่ 90 สตางค์ เก็บเรื่อยมาจน 1 บาทกว่า ต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาท ซื้อมา 60 ล้านหุ้น แต่หุ้นโดนบล็อกมากราคาไม่ค่อยขึ้น จนราคามาที่ 3-4 บาท ก็เริ่มขายออกไป ตรงกับขณะนั้นที่มีการออกหุ้นวอร์แรนต์ในราคา 2.30 บาท ให้สัดส่วน 1 หุ้นต่อ 1 วอร์แรนต์ หุ้น KK วิ่งรวดเดียวถึง 80 บาท วอร์แรนต์อยู่ที่ 60 บาท จากราคาสิทธิที่ถือว่าต่ำ ก็เลยได้คิดว่าถ้าถือหุ้นดีๆ น่าจะทำกำไรได้มากกว่านี้"

จุดเปลี่ยนความคิด "เล่นหุ้นพื้นฐาน"

เสี่ยปู่บอกว่า บทเรียนจากการเล่นเก็งกำไร ทำให้ขาดทุนมากกว่าได้กำไร เพราะเป็นคนที่เล่นขาลงไม่เก่ง ประกอบกับ "มนตรี ศรไพศาล" (กรรมการผู้จัดการ บล.กิมเอ็ง) เอาหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟต มาให้ จึงอ่านแล้วอ่านอีก ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่หนังสือเล่มนี้อ่านแล้ววางไม่ลงเลย ก็เลยคิดตลอดเวลาว่า จะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ value stock ให้ได้ เพราะเชื่อในปรัชญาที่ว่า ราคาหุ้นที่สุดแล้วจะไปอยู่ในพื้นฐานของตัวหุ้นนั้นๆ ในระยะยาว ยิ่งในตลาดหุ้นสมัยนี้ การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะยากมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เก็งกำไรกันได้ง่าย

"แต่หุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน เวลาราคาขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก มักจะเป็นราคาที่ไม่จริง พอร์ตที่ผ่านมาแม้จะมีการเก็งกำไร แต่ก็เป็นการได้ๆ เสียๆ ถึงพอร์ตจะโตแต่ก็โตแบบเก็งกำไรไม่ยั่งยืน ในช่วงหลังๆ จึงแบ่งพอร์ตลงทุนเป็นหุ้นพื้นฐาน 70% สำหรับลงทุนระยะยาว (long term) และหุ้นเก็งกำไร 30% แต่ก็ยอมรับว่าบางครั้งหุ้นเก็งกำไรทำกำไรได้เยอะกว่าหุ้นพื้นฐาน แต่บางครั้งการเก็งกำไรของผมก็จะดูปัจจัยพื้นฐานด้วยเหมือนกัน

สำหรับเทคนิคการเลือกหุ้น เสี่ยปู่เล่าว่า เวลาซื้อหุ้นจะเป็นช่วงตลาดขาลง ซึ่งเป็นการรอรับซื้อจนได้กำไร โดยหุ้นที่ซื้อจะดูผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นหลัก อย่างหุ้นอิออน ธนสินทรัพย์ (AEONTS) จะสังเกตมาตลอดตั้งแต่เข้าตลาดโตมากกว่า 30% ทุกปี สูงมาก ถือว่าเป็นหุ้นดีแม้ราคาจะนิ่ง จึงเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ถือมาตลอดไม่ขาย ชอบมากตัวนี้


"หุ้นเก็งกำไร ถ้าซื้อแล้วขาดทุน ก็ถือว่าดูผิดก็จะขาย ถ้าเป็นหุ้นแวลูที่ยังดีอยู่ ก็จะถือต่อไป ผมจะดูถ้าช่วงไหนหุ้นขึ้นแรงๆ ในช่วงสั้นๆ ซัก 50% ผมก็จะพิจารณาขาย ถ้าเป็นวอร์แรนต์ ถ้ากำไรซัก 200% ผมอาจไม่ขาย ต้องดูหุ้นแม่เป็นตัวประกอบก่อน ซึ่งวอร์แรนต์หลายตัวที่ซื้อก็เพื่อ ใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ"

เสี่ยปู่เล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขึ้นบูมมาก ไม่ได้ซื้อเพิ่ม เรียกว่าลดพอร์ตเลย เพราะราคาหุ้นแพงเกินไปจากการที่ปรับขึ้นเร็วและแรง แต่ตัวที่จะซื้อเก็บจะเลือกหุ้นที่คิดว่าดีและยังสะสมได้ โดยเฉพาะหุ้นเล็กๆ หรือถ้าเวลาที่ฝรั่งขาย ก็จะมานั่งดูหุ้นว่ายังแพงอยู่หรือว่าถูกลงแล้ว โดยไม่สนใจว่าในช่วงนั้นใครซื้อหรือขายอยู่

สำหรับกำไรจากพอร์ตลงทุน ถ้าเป็นหุ้นแวลู จะโตขึ้นเรื่อยๆ บางตัวก็โตเร็ว ส่วนหุ้นเก็งกำไรก็ขึ้นในทำนองเดียวกัน และเวลาที่ได้กำไรจากหุ้นเก็งกำไรจะเอามาซื้อหุ้นพื้นฐานเก็บไว้ โดยสถิติพอร์ตหุ้นมูลค่าเคยกำไรสูงสูดถึง 1,500 ล้านบาท !!! แต่ถ้านับรวมกับพอร์ตหุ้นเก็งกำไรแล้ว ตัวเลขกำไรที่ประมาณการแบบเปิดเผยก็เกิน 2,000 ล้านบาท !!!


เป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์ภาพรวมในการลงทุนในอนาคต เพราะมองว่า ควรเลือกลงทุนเป็นรายตัวมากกว่า โดยจะเลือกขายหุ้นที่มี P/E สูงออกไปบ้าง แต่หากหุ้นที่มี P/E สูง แต่เป็นหุ้นคุณค่าที่เหมาะลงทุนในระยะยาวก็จะยังคงถือหุ้นต่อไป ปัจจุบันเสี่ยปู่มีหุ้นในพอร์ตประมาณ 30 ตัว โดยจะค่อย ๆ ทยอยเก็บหุ้นมาเป็นระยะ และเชื่อมั่นว่า แม้ดัชนีอาจจะปรับฐานแต่หากมีหุ้นที่ดีโอกาสที่ราคาจะลดลงก็มีน้อย



เสี่ยปู่ยังเล่าให้ฟังถึงแนวทางการลงทุนสไตล์ William O’niel ที่ปรึกษาการลงทุนชื่อดังที่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่ Breaking out หรือหุ้นที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ โดยให้เข้าซื้อ ณ ราคาที่สูงที่สุด แล้วถือหุ้นในระยะกลางคือ 2-5 ปี ก็จะสามารถทำกำไรได้ทุกตัว เพราะหุ้นที่ทำสถิติสูงสุดใหม่มักจะมีราคาที่สูงขึ้นได้ต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง


แต่ทั้งนี้ควรเป็นการซื้อถือเพื่อลงทุนระยะยาวสักหน่อย โดยมองที่เงินปันผลก่อน แล้วจึงมองส่วนต่างราคาเป็นผลพลอยได้ ไม่เก็งกำไรสั้นๆ แบบแห่ตามกระแส

ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงนั้น “เสี่ยปู่” ไม่ได้วิเคราะห์เจาะจงเอาไว้ ในสายตาเขาจะคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจไว้เท่านั้น ไม่ได้จับตาหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงไว้อย่างที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต้องทำ

ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 30 ตัว ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีเวลาดูสักเท่าไหร่ แต่จะเน้นที่ผู้บริหารมีธรรมภิบาล ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีพลาดเหมือนกัน มีกำไรตั้ง 200 %แต่ไม่ขายราคาหุ้นก็ลงมาเท่าทุน ที่ผ่านมาก็มีตัดขาดทุนออกมา โดยหลักตายตัวไม่มี แต่จะดูจากการที่กำไรตกต่ำลงถ้าหุ้นลงทุนระยะยาวแต่ต่ำกว่าความเป็นจริง ก็จะเข้าไปซื้อ

หลักในการลงทุน จะดูจากงบกำไรของบริษัทที่แจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้ากำไรโตดีมากแต่ P/E ยังต่ำอยู่ก็ยังไม่ขาย แต่ถ้าราคาปรับตัวขึ้นเร็วมากๆ ผมก็อาจจะขายทำกำไรออกมา ซึ่งการที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูง เพราะมีคนสนใจเข้ามาเล่นเยอะ ก็จะขายทำกำไร

"หลักของผม จะไม่มองว่า วันนี้ฝรั่งจะขาย กองทุนจะขาย หรือใครจะขายก็ตามแต่จะดูที่ราคาหุ้นเป็นสำคัญ ถ้าหุ้นพื้นฐานดี ราคาลงมาต่ำก็จะเข้าไปซื้อ และถึงแม้ถ้าเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ ก็ยังไม่ขาย ในขณะเดียวกันช่วงตลาดที่แย่ก็จะเข้าไปสะสมหุ้นเพิ่ม"

ส่วนดร.นิเวศน์ และ วอร์เรน บัฟเฟ็ต จะเป็นนักลงทุนที่สมพงษ์ได้แบบอย่างในการบริหารพอร์ตการลงทุน ซึ่งคิดวิธีของทั้งสองเป็นวิธีที่ปลอดภัย โดยอาศัยจังหวะถูกก็เก็บสะสม หุ้นแพงก็ขาย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่พูดเข้าใจง่าย แต่ทำยาก ซึ่งผมจะระวังมากๆ ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูม เพราะหุ้นจะแพง หลังจากที่ตลาดหุ้นบูมแล้วก็จะตกต่ำ ซึ่งอาจจะมีวงจรใหญ่ หลังจากที่ตลาดหุ้นบูมไปแล้ว ต้องมีหุ้นอยู่ในพอร์ตไม่เยอะ


หลักในการเข้าเก็บหุ้น


1.หุ้นพื้นฐานดี

2.ราคาปัจจุบันเทียบกับกำไร(P/E) ต่ำ

3.ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป

4.มีแนวโน้มในการเติบโตในอนาคต

5. ต้องเป็นบริษัทที่มีหลักธรรมภิบาล

สำหรับแหล่งในการหาข้อมูลตรงนี้ จะคำนวนค่าP/E เอง และบางครั้งจะมีการเข้าไปcompany visited ไปคุยกับผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ ซึ่งสไตล์เสี่ยปู่ จะเน้นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจในความสามารถของผู้บริหารบริษัทนั้นๆ ซึ่งถ้าได้ไปนั่งคุยกับผู้บริหารก็จะรู้ว่าบริษัทนั้น มีผู้บริหารที่มีความชำนาญในธุรกิจที่ทำอยู่มากน้อยเพียงใด


หลักในการขายหุ้น


1.ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

2.ราคาปัจจุบันเทียบกับกำไร(P/E) สูงเกินไป

3.หุ้นที่มีคนเข้าไปซื้อขายมากๆ

โดยนิสัยส่วนตัวของเสี่ยปู่แล้ว มักจะขายหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ แล้วไปหาเก็บตัวอื่นที่ไม่มีใครสนใจ ซึ่งมีหุ้นหลายตัวที่มีหุ้นราคาถูกๆ และคนอื่นไม่สนใจอีกเป็นจำนวนมาก โดยจะดูได้จากการที่ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหุ้นหลายๆบริษัท ปรับตัวขึ้น แต่หุ้นเหล่านี้ กลับมีการปรับตัวลง ซึ่งจากเดิมที่มีค่าP/E ถูกอยู่แล้ว ก็ยังถูกลงไปอีก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เสี่ยปู่มองอยู่

ส่วนคำว่า ถือลงทุนระยะยาวของนักลงทุนทั่วไป ที่จะใช้เวลาเป็นเกณฑ์กำหนดว่าจะถือกี่เดือน กี่ปี แต่สำหรับ เสี่ยปู่แล้ว จะถือไปเรื่อยๆ ตราบใดที่พื้นฐานยังดีอยู่และราคาไม่แพงก็ยังถืออยู่ และอยากถือกินเงินปันผลมากกว่า ซึ่งหุ้นที่อยู่ในพอร์ตจำนวน 30 ตัว ถือว่าเป็นหุ้นปันผลทั้งหมด

อย่างไรก็ตามเสี่ยปู่ ถือได้ว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีจิตใจที่เปิดกว้าง สำหรับการลงทุนใหม่ๆ ที่มีกำไร และไม่ยึดติดกับการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้เป็นการเสียโอกาสอย่างมาก ที่จะปล่อยให้เงินอยู่เฉยๆ โดยไม่สร้างประโยชน์อะไร ประกอบกับมีความเข้าใจในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ขยายใหญ่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยใช้วิธีเงินต่อเงินให้ออกดอกออกผล ดังคำกล่าวที่ว่า


"ถึงแม้ว่าหุ้นที่ผมชอบจะมีการปรับตัวขึ้นไปสูงแล้ว ผมก็จะไม่เข้าไปลงทุน และจะรอให้ราคาหุ้นลงมาก่อน ซึ่งช่วงเวลานั้นก็จะหันไปเล่นหุ้นตัวอื่นแทน ผมไม่กลัว และพร้อมที่จะเล่นหุ้นตัวใหม่ๆ ที่มีพื้นฐานดีพีอีต่ำอยู่เสมอ"

ชื่อเสียงดังเลยถูกนำมาหากินในห้องค้า

ด้วยไซซ์พอร์ตใหญ่ขนาดนี้ เสี่ยปู่จึงยอมรับว่า บ่อยครั้งที่ชื่อเสี่ยปู่ถูกนำไปใช้อ้างในตลาดหุ้นว่า "เข้าเล่นหุ้นตัวนั่นตัวนี่" หวังเรียกแมลงเม่าเข้ามาร่วมวงปั่นหุ้น หรือถูกข้อหาว่า "เป็นนอมินีให้กลุ่มนักการเมือง" ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองเลย ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ฯเข้ามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไร และไม่เว้นแม้กระทั่งข่าวว่า "เสี่ยปู่รับจ้างทำราคาให้กับหุ้นใหม่ที่จะเข้าตลาด" ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ามีการติดต่อจริง แต่ก็บอกไปตรงๆ ว่าทำไม่ได้ เพราะหุ้นจองพอเข้าตลาดวันแรกก็ขายกันแล้ว

"ที่ผ่านมาก็มีถูกเพ่งเล็งจากทางการบ้างเหมือนกัน ตามที่หนังสือพิมพ์เอาไปลงกัน ว่าไปปั่นหุ้นตัวนั้นตัวนี้หลายๆ ตัวก็เป็นแค่ข่าวลือ เพื่อให้หุ้นวิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่จริงเลยที่เข้าไปซื้อแล้วหุ้นมันจะขึ้น ขายแล้วลงก็ไม่ใช่ เคยซื้อหุ้นเยอะไม่ขึ้นก็มี และ ผมก็ไม่ใช่ขาใหญ่อะไรด้วย เพราะขาใหญ่ๆ จริงมีไม่เยอะ เป็นข่าวลืออุปโลกน์กันไปมากกว่า ขาใหญ่ตัวจริงต้องมีเครือข่าย มีก๊วน เล่นตัวเดียวกัน พากันดันราคาขึ้นไป พอหัวหน้าเป่านกหวีด ปรี๊ดก็ขายกันหมดอย่างนี้ สำหรับผมจะเล่นลงทุนคนเดียว ไม่ค่อยมีก๊วนแต่ก็จะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ถ้าเห็นดีด้วยก็ซื้อบ้างถ้าไม่ก็ไม่ซื้อ"


เป้าหมายชีวิต "เล่นหุ้นไปเรื่อยๆ"


เสี่ยปู่บอกว่า แม้อายุ 60 ปี ก็ยังชอบการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ ซึ่งคิดว่าจะเล่นหุ้นไปเรื่อยๆ ชีวิตมีความสุขดี ทุกวันนี้กลางคืนก็จะมีเข้าไปดูข่าวในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับหุ้น ดูว่าเขาแชตหุ้นอะไรกันบ้าง มีหลายเว็บทั้งกระทิงเขียวในพันธุ์ทิพย์ฯ ทุกวันนี้ก็เล่นหุ้นเป็นอาชีพส่งลูกเรียนต่อเมืองนอก ขณะที่ภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้านอยู่ ตอนนี้ก็มาเล่นหุ้นเหมือนกัน แต่คนละพอร์ตกัน เพราะลงทุนคนละสไตล์ พอกลับถึงบ้านจะคุยหุ้นกันนิดๆ หน่อย ซึ่งปรากฏว่าภรรยาได้กำไรมากกว่าในรอบหุ้นขึ้นที่ผ่านมา ส่วนลูกๆ 3 คนหากเรียนจบกลับมาในอนาคตก็อยากให้เข้ามาเล่นหุ้นเหมือนกัน

พอถามถึงงานอดิเรก เสี่ยปู่จะบอกว่า จะมีทั้งการสะสมรูป ศิลปะ งานตัดแต่งต้นไม้ ปลูกต้นไม้ที่บ้าน ที่สำคัญ เงินส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้ฟุ่มเฟือย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่จะทุ่มสุดๆ เน้นแบรนด์ดังๆ เท่อย่างเวอร์ซาเช่ ที่ใส่มาให้สัมภาษณ์ด้วยมาดเนี้ยบ บุคลิกนิ่มๆ แบบนักวิชาการใส่แว่น แต่นี่คือขาใหญ่เล่นหุ้น "เสี่ยปู่"........

เครดิต : อินไซด์กองทุน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น