8 มีนาคม 2555

ถอดหลักลงทุน 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' 'กิติชัย เตชะงามเลิศ'


กิติชัย เตชะงามเลิศ เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่ชีวิตวัยเด็กเป็นยิ่งกว่านิยาย หลังพ่อแม่เสียชีวิตในเปลวเพลิงพร้อมโรงงานเสื้อยืด ขณะกิติชัยมีอายุ 12 ปี เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคันขณะเรียนชั้น ม.1โรงเรียนเทพศิรินทร์ สามพี่น้องในวัยเยาว์ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดตามลำพังในธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้า โดยไม่มี "เสาหลัก" ของครอบครัว

กิติชัยเรียนกวดวิชาตอนกลางคืนแล้วมาสอบเทียบ ม.ปลาย เอนทรานซ์ติดคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนอันดับ 1ของคณะเทียบเท่าคณะแพทย์ เรียนจุฬาฯได้เทอมเดียวต้องลาออกมาช่วยพี่ชายค้าขาย จึงไปลงเรียนที่รามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ เรียนจบภายใน 3 ปีครึ่งแถมได้ทุนเรียนฟรี 2 เทอมเพราะเรียนดี

ด้วยความที่เป็นคนหัวดีหลังจากจบปริญญาตรีที่รามฯ สอบติด MBA มหาวิทยาลัย "เกรดเอ" พร้อมกัน 3 แห่งที่ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และนิด้า แต่สอบตกสัมภาษณ์ที่ธรรมศาสตร์ จึงตัดสินใจเรียน MBA พร้อมกันที่จุฬาฯ และนิด้า แต่เรียนไปได้แค่เทอมเดียวสู้การเดินทางไม่ไหวจึงเลือกเรียน MBAที่จุฬาฯ เพียงแห่งเดียวจนจบการศึกษา


ช่วงที่เรียนหนังสือกิติชัยก็เริ่มเล่นหุ้นแล้ว ประมาณปี 2534-2535 เขาเริ่มเล่นหุ้นจากเงินก้อนเล็กๆ และเติบใหญ่จนปัจจุบันมีพอร์ตหุ้น "หลายร้อยล้านบาท" ขณะเดียวกันกิติชัยก็เป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (ซื้อมา-ขายไป) ที่สายตาแหลมคม ปัจจุบันมีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การครอบครองมูลค่าหลัก "ร้อยล้านบาท"ทั้งคอนโดให้เช่า ที่ดินเปล่า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร

"มีคนชอบถามผมว่า ควรจะลงทุนอะไรดี และสัดส่วนการลงทุนในแต่ละช่องทางควรจะเป็นอย่างไร ก่อนอื่นเราควรจะดูว่า เราอายุเท่าไร และการยอมรับความเสี่ยงในการขาดทุนจากการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด ตามปกติคนที่มีอายุมาก ควรจะลงทุนในตราสารหนี้มากหน่อย (พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้ของบริษัทที่ได้รับเกรดการลงทุนอยู่ในระดับ BBB หรือ BBB+เป็นต้นไป,กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้)ที่เหลืออาจจะลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) และอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้ประจำจากค่าเช่า หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ที่มีเงินออมไม่มากนัก"

"ส่วนคนที่มีอายุไม่มากสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่า ก็อาจจะลงทุนกองทุนที่ลงทุนในตราสารทุน (หุ้น)มากขึ้น อย่างไรก็ตามก็ควรจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตราสารหนี้ด้วย เมื่อมีความรู้มากขึ้นอีกระดับหนึ่ง อาจจะแบ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งไม่ควรเกิน 5-10% ลงในสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนที่ลงทุนในสินค้าเหล่านี้ให้เลือกได้หลากหลาย"

กิติชัย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากหรือน้อย คือ Asset Allocation (การกระจายทรัพย์สิน) ถ้ามีการกระจายการลงทุนได้ดี จะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีภายใต้ความเสี่ยงที่พอรับได้

"บางคนชอบลงทุนโดยดูช่วงจังหวะ (Timing) ซึ่งผมคิดว่าโอกาสที่ท่านจะลงทุนได้ถูกจังหวะไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเห็นเซียนหลายคนตกม้าตายจากเรื่อง Timing ผมคิดว่าท่านอาจจะลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) โดยการลงทุนทุกเดือนด้วยจำนวนเงินเท่ากัน น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด"

----------------------------------------------------------------
วิเคราะห์หุ้นด้วยวิธี Top Down และ Bottom Up
----------------------------------------------------------------
เซียนหุ้นร้อยล้าน กล่าวถึงแนวทางการลงทุนของตนเองว่า การลงทุนในตลาดหุ้นส่วนตัวจะใช้วิธีทั้ง Top Down (จากบนลงล่าง) และ Bottom Up (จากล่างขึ้นบน) โดยการเลือกหุ้นแบบ Top Down คือ การเลือกอุตสาหกรรมที่น่าสนใจก่อน แล้วค่อยเลือกบริษัท "ที่ดีที่สุด" ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น

ส่วนวิธีการเลือกหุ้นแบบ Bottom Up คือ การเลือกรายบริษัทโดยค้นหาบริษัทที่มีผลประกอบการน่าประทับใจ หรือ มีอะไรที่น่าสนใจ

"โดยผมจะมีหุ้นที่คอยติดตามอยู่ประมาณ 30-40ตัว โดยจะตามแบบห่างๆ ยกเว้นหุ้นตัวไหนที่สะดุดตาก็จะติดตามอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตามผมจะควบคุมหุ้นในพอร์ตการลงทุนไว้ประมาณ 3-10ตัวเท่านั้น แล้วแต่ช่วงเวลานั้นๆ ว่า จะมีหุ้นที่น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน"

กิติชัย กล่าวว่า หุ้นที่ลงทุนในแต่ละช่วงเวลาอาจจะลงทุนในหุ้นที่แตกต่างกัน โดยรวมๆ แล้ว จะชอบหุ้นที่เติบโตดี (Growth Stock) หุ้นฟื้นตัว (Turnaroud Stock) หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) หุ้นปันผล (Dividend Stock) ถ้าเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ และหุ้นวัฏจักร ถ้าลงทุนได้ "ถูกจังหวะ" ช่วงที่มันแย่สุดๆ แล้ว และมองว่าธุรกิจกำลังจะฟื้นตัวภายใน 1-2 ปี บางครั้งสามารถทำกำไรได้เป็น 1,000% ทีเดียว

"ช่วงที่เศรษฐกิจดีผมจะชอบ Growth Stock, Turnaroud Stock และ Cyclical Stock ส่วนช่วงเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ผมจะเน้นหุ้น Dividend Stock เช่นหุ้นปันผลต่างๆ"

เขายกตัวอย่าง Turnaroud Stock อย่าง บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) เมื่อเดือนมีนาคม 2552 ราคาเคยลงไปต่ำสุด 3.26 บาท โดยในขณะนั้นเศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่จากปัญหาซับไพร์ม ยอดขายรถยนต์ตกลงมาก เมื่อเวลาผ่านไปราคาหุ้น SAT กลับขึ้นมาที่ราคา 32.50บาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ผลตอบแทนการลงทุนเกือบ 900% ภายในเวลาเพียง 20 เดือนเท่านั้น หลังจากเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวยอดขายรถยนต์ดีขึ้นมาก

สำหรับตัวอย่างของหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) ที่ชัดเจนคือ บมจ.เอ.เจ.พลาสท์ (AJ) เมื่อเดือนมีนาคม 2552 ราคาหุ้นเคยลงไปต่ำสุดที่ 2.20บาท เมื่อวัฏจักรธุรกิจอยู่ในช่วงขาลง ต่อมาวัฏจักรธุรกิจเริ่มเป็นขาขึ้น ราคาหุ้นขึ้นมาที่ 40บาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ผลตอบแทนขึ้นมา 1,718% ภายใน 20 เดือนเท่านั้น จะเห็นได้ว่าหุ้น 2 ตัวนี้ (SAT และ AJ) ถ้านักลงทุนสามารถลงทุน "ถูกตัว"และ "ถูกเวลา"ผลตอบแทนนั้นมหาศาลมาก เพราะว่าความหอมหวานของหุ้นประเภทนี้ทำให้ตลาดหุ้นเป็นที่ดึงดูดนักลงทุนมากมาย

-------------------------------------------------------------------
ตราสารหนี้-กองทุนต่างๆ แหล่งพักเงินชั่วคราว
---------------------------------------------------------------------
หลังจากขายหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ออกจากพอร์ต โดยยังไม่มีตัวเลือกในการลงทุนดีๆ กิติชัย บอกว่า ส่วนใหญ่จะ "พักเงิน" ไว้กับ Money Market Fund ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เพราะกองทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากออมทรัพย์และไม่เสียภาษีด้วย

นอกจากนี้ จะซื้อกองทุนประเภท LTFและ RMFที่เน้นลงทุนในตราสารทุน (หุ้น)เพื่อลดหย่อนภาษีเต็มตามสิทธิเท่านั้น แต่จะไม่ลงทุนมากเพราะนิยมลงทุน (หุ้น) เองมากกว่า

สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กิติชัย บอกว่า ต้องอาศัยประสบการณ์ค่อนข้างมาก อธิบายลำบากเพราะมีปัจจัยเล็กปัจจัยน้อยประกอบมากมาย

"สรุปว่าผมจะลงทุนทั้งอสังหาริมทรัพย์เก่าและใหม่ โดยดูที่ทำเล,สภาพของทรัพย์สิน และราคาเป็นจุดสำคัญ บางครั้งก็ต้องอาศัยความรู้เล็กๆ น้อยๆ ด้านฮวงจุ้ยมาประกอบด้วย"

---------------------------------------------------------------
Asset Allocation เน้นหุ้น-อสังหาริมทรัพย์
----------------------------------------------------------------
"ปัจจุบัน Asset Allocation ของผมส่วนใหญ่จะลงใน ตราสารทุน (หุ้น) 59% อสังหาริมทรัพย์ 39% อื่นๆ ประมาณ 2% ปีนี้ผมถือเงินสดน้อยมาก ลงทุนค่อนข้าง Aggressive (เชิงรุก) ครับ"

การที่เน้นกระจายการลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ กิติชัยให้เหตุผลว่าอสังหาริมทรัพย์จะมีความมั่นคงสูง ราคาไม่ค่อยตก แต่ทวีมูลค่าขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป อสังหาฯ บางชิ้นยังสร้างรายได้ประจำจาก "ค่าเช่า" ได้ด้วย แต่ข้อเสียคือ "สภาพคล่องจะต่ำ" บางครั้งอยากขายแม้จะขายในราคาถูก อาจขายไม่ได้เมื่อยังไม่เจอผู้ที่ต้องการ (เจ้าของ) อสังหา ฯชิ้นนั้นๆ ส่วนหุ้นมีข้อดีคือ "สภาพคล่องสูง" แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก

"ปัจจุบันผมเริ่มสนใจที่จะลงทุนในต่างประเทศเพราะว่ามีช่องทางในการลงทุนที่หลากหลายกว่า และเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี ดังหลักการลงทุนที่ว่า..อย่าใส่ไข่หลายใบไว้ในตะกร้าใบเดียว"

เครดิต : Bizweek

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น