29 กุมภาพันธ์ 2555

25 กฎเหล็ก ของ ปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch)


สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) บุคคลที่เป็นนักลงทุนต้นแบบอีกคนคือ ปีเตอร์ ลินซ์ (Peter Lynch)

ลินซ์มีความคิดว่านักลงทุนรายย่อยสามารถที่จะวิเคราะห์หุ้นได้มีประสิทธิภาพกว่ามืออาชีพหลายๆ คน รวมทั้งสามารถเลือกที่จะซื้อหรือขายได้อย่างชาญฉลาดกว่า เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยมีอิสระในการตัดสินใจมากกว่า ในขณะที่ผู้จัดการกองทุนต้องรับฟังความเห็นของคณะกรรมการการลงทุนของบริษัท

ลินซ์ ทำงานที่กองทุนรวมฟิเดลิตี้ (Fidelity) เป็นที่แรกและที่เดียว เริ่มงานในตำเหน่งนักวิเคราะห์ในปี 1969 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยในปี1974 และเข้ารับตำเหน่งผู้จัดการกองทุนแมคเจลแลน (Fidelity Magellan) ในปี 1977 ในขณะนั้นมูลค่าของกองทุนประมาณ 22 ล้านเหรียญ ในปี 1990 ซึ่งเป็นปีที่เขาตัดสินใจเกษียณอายุงานเพื่อให้เวลาแก่ครอบครัวมากขึ้น มูลค่าของกองทุนได้เพิ่มขึ้นเป็น 14 พันล้านเหรียญ ไม่เคยมีผู้จัดการกองทุนคนใดทำได้อย่างเขามาก่อน ลินซ์รักษาชื่อเสียงในการเป็นผู้จัดการกองทุนที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ระหว่างที่เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่ Fidelity Magellan Fund ระหว่างปี 1977 ถึง 1990


ความลับในการบริหารกองทุนของเขาคือการทำงานหนัก เขาทำงานหกวันหรือบางครั้งเจ็ดวันต่อสัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้สามารถพูดคุยกับผู้บริหารของบริษัทต่างๆที่เขาลงทุน เขาพูดคุยกับนักวิเคราะห์ทุกวัน เขามีผู้ช่วยในงานวิเคราะห์เพียงแค่สองคน โดยบริหารหุ้นทั้งหมดเกือบ 1,400 บริษัทในพอร์ต ระหว่างที่เขาบริหารกองทุนนั้น เขาสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 29% ทบต้นต่อปีเป็นระยะเวลา 13 ปี ติดต่อกันถือว่าสูงที่สุดในวงการกองทุนรวมของสหรัฐฯ

แนวคิดหลักของลินซ์คือ เราสามารถเลือกลงทุนได้จากสิ่งรอบตัวเราหรือจากงานที่เราทำอยู่ เช่นถ้าเราเลือกที่จะสนใจในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจอยู่แล้ว อาจจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า หรือแม้แต่การสังเกตเพื่อนบ้านที่กำลังถอยรถใหม่ออกมา หรือเห็นโรงงานข้างทางกำลังขยาย สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นตัวช่วยให้เราเลือกลงทุนกับบริษัทเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม เพราะเราคุ้นเคยกับธุรกิจ รวมทั้งสามารถเข้าใจลูกค้าและอุตสาหกรรมอยู่แล้ว เช่นหากคุณเป็นแพทย์ คุณจะเข้าใจในธุรกิจโรงพยาบาล เข้าใจผู้ป่วย และบริษัทเวชภัณฑ์ว่าลูกค้าต้องการอะไร หรือรู้ว่าโรงพยาบาลและบริษัทเวชภัณฑ์ไหนสามารถสนองความต้องการของผู้ป่วยได้ดีกว่ากัน บางครั้งข้อมูลในการลงทุนอาจได้มาจากครอบครัวของคุณและของเพื่อน พวกเขามีงานและงานอดิเรกซึ่งนักลงทุนสามารถสอบถามข้อมูลได้เป็นอย่างดี

ลินซ์แบ่งบริษัทต่างๆ ในการลงทุนได้ 6 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. ประเภทอุ้ยอ้าย (Slow growers) การเติบโตของกำไรจะสูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเล็กน้อย ประมาณ 2-4% ต่อปี
2. ประเภทแข็งแกร่ง (Stalwarts) บริษัทที่ดีมีอัตราการเติบโตประมาณ 10-20% ต่อปี
3. ประเภทโตเร็ว (Fast growers) บริษัทเล็กๆที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20 -25% ต่อปี
4. ประเภทขึ้นลงตามวัฎจักร (Cyclicals) บริษัทที่กำไรขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ
5. ประเภทเริ่มฟื้นตัว (Turnarounds) บริษัทที่ประสบปัญหา แต่มีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวที่ชัดเจน
6. ประเภทสินทรัพย์แฝง (Asset plays) บริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าของสินทรัพย์ หรือมูลค่าตามบัญชีที่เรา ทราบแต่อีกหลายคนในตลาดยังไม่ทราบ เช่นที่ดินที่มีอยู่อาจมีมูลค่าสูงมาก ในบริษัทประกันภัยที่ตั้งสำรอง เงินประกันสูงๆ

ลินซ์กล่าวว่านักลงทุนไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด แต่ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น จำไว้เสมอว่ากำไรขาดทุนที่จะได้รับไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมแต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาดหุ้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเมืองไทยจำนวนมากดำเนินตามรอยลินซ์ในการลงทุนและส่วนใหญ่มักประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ เขายังได้ให้คำแนะนำดีๆแก่นักลงทุน นั่นคือ 25 กฎเหล็กของการลงทุน

1. การลงทุนนั้นสนุก ตื่นเต้น และอันตรายมากถ้าคุณไม่ศึกษาหรือวิเคราะห์ก่อนลงทุน

2. ความเก่งหรือความสามารถในการลงทุนของคุณนั้นไม่ใช่จะได้มาจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หรือผู้รู้ใน ตลาดหุ้น แต่ความเก่งหรือความสามารถในการลงทุนของคุณนั้นอยู่ในตัวคุณอยู่แล้ว คุณจะสามารถชนะ ตลาดหุ้นได้ถ้าคุณลงทุนในบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่คุณเข้าใจอยู่แล้ว

3. 30 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นถูกโน้มน้าวหรือถูกควบคุมโดยนักลงทุนมืออาชีพ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีผลต่อตลาดมาก อย่างไรก็ตาม ถ้านักลงทุนรายใหม่อยากชนะตลาดก็ควรวิเคราะห์ หรือศึกษาการลงทุนจะดีกว่าที่จะฟังคน อื่นบอกมาอีกที

4. ติดตามบริษัทที่คุณได้ทำการลงทุนไปอย่างสม่ำเสมอ

5. ผลประกอบการของบริษัทและราคาหุ้นอาจจะไม่มีความสัมพันธ์ในระยะสั้นหนึ่งเดือนหรือสองเดือนแม้กระ ทั้งสองหรือสามปี แต่ในระยะยาวผลประกอบการของบริษัทและราคาหุ้นมีความสัมพันธ์กัน 100 เปอร์เซ็นต์

6. คุณต้องรู้ว่าคุณเป็นเจ้าของหุ้นอะไร และเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกเป็นเจ้าของหุ้นตัวนี้

7. การวิเคราะห์การลงทุนในระยะยาวเกินไป บ่อยครั้งที่จะคลาดเคลื่อนจากที่คิดไว้

8. การมีหุ้นนั้นเปรียบได้เหมือนมีลูก อย่าไปมีหุ้นมากเกินกว่าแรงของตัวเองจะรับไหว

9. ถ้ายังหาหุ้นที่น่าลงทุนไม่ได้ จงอย่าลงทุนและนำเงินไปฝากธนาคารจนกว่าจะหาเจอ

10. จงหลีกเลี่ยงหุ้นที่ร้อนในอุตสาหกรรมที่แรง และควรลงทุนหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตน้อยจะเป็นผู้ ชนะในส่วนมาก

11. ถ้าพูดถึงบริษัทขนาดเล็กคุณควรจะรอจนกว่าบริษัทมีความสามารถทำกำไรสม่ำเสมอ แล้วค่อยตัดสินใจลงทุน

12. ถ้าคุณอยากลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงวิกฤต จงลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสที่จะรอดจากช่วง วิกฤตได้

13. ถ้าคุณลงทุน $1,000 ในตลาดหุ้นคุณมีโอกาสที่จะขาดทุนมากที่สุดเท่ากับ $1,000 แต่มีโอกาสทำกำไร มากถึง $10,000 หรือ $50,000 ถ้าคุณใจเย็นกับการลงทุน

14. ในทุกอุตสาหกรรมนักลงทุนสมัครเล่นสามารถหาบริษัทที่ดีเยี่ยมก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว

15. ตลาดหุ้นตกเป็นเรื่องธรรมชาติเปรียบเหมือนฝนที่ต้องตกทุกปี

16. นักลงทุนทุกคนมีความสามารถที่จะทำกำไรในตลาดหุ้น แต่ไม่ทุกคนที่มีความกล้า ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ประเภทที่ต้องขายหุ้นในช่วงเวลาหุ้นตกหรือช่วงตกใจ จงอย่าลงทุนในหุ้น

17. อย่าวิตกกังวลในปัจจัยภายนอกมากเกินไป นักลงทุนควรขายหุ้นทำกำไรก็ต่อเมื่อปัจจัยพื้นฐานของ บริษัทนั้นแย่ลง

18. ไม่มีใครสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นได้ ดังนั้นจงติดตามบริษัทที่คุณ ได้ทำการลงทุนไปอย่างสม่ำเสมอ

19. ถ้าคุณวิเคราะห์ 10 บริษัท คุณจะเจอ 1 บริษัทที่เด่นกว่าที่คุณคิดไว้ ถ้าคุณวิเคราะห์ 50 บริษัทคุณจะเจอ 5 บริษัทที่ดีเยี่ยม

20. ถ้าคุณไม่ศึกษาหรือวิเคราะห์การลงทุนในหุ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์แบบไม่ดูไพ่

21. ถ้าเวลาอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นดีคุณสามารถที่จะรอได้ แต่หากคุณพลาดการ ลงทุนในหุ้น Wal-Mart มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้ออยู่ดี แต่เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณถ้าคุณซื้อออปชั่น

22.ถ้าคุณอยากลงทุนแต่คุณไม่มีเวลาทำการบ้าน คุณควรจะซื้อกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงและ กองทุนหลายประเภท

23. ภาษีที่คิดจากส่วนต่างของราคาจะส่งผลในเชิงลบกับนักลงทุนที่สับเปลี่ยนกองทุนบ่อยครั้งเกินไป หาก คุณลงทุนในกองทุนหนึ่งกองหรือหลายกองที่ให้ผลตอบแทนดีๆ จงอย่าขายพวกมันออกไปแบบใช้อารมณ์ จงถือกองทุนเหล่านั้น

24. ในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นที่อเมริกาให้ผลตอบแทนรวมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาสูงเป็นอันดับ แปดของโลก คุณจะสามารถหาประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วกว่าโดยการนำเงินไปลงทุน ต่างประเทศที่มีผลตอบแทนที่ดี

25. ในระยะยาวแล้ว พอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยหุ้นและกองทุนหุ้นที่ดีจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพอร์ตที่ ประกอบด้วยตราสารหนี้หรือการลงทุนในตลาดเงิน อย่างไรก็ตามในระยะยาว พอร์ตที่ประกอบด้วยหุ้นและ กองทุนหุ้นแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินที่ถูกเก็บเอาไว้ใต้ที่นอนได้


เครดิต : Thaivi.com และ sienhoon.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น