20 ตุลาคม 2558

ทำความรู้จัก Jordan Belfort : The Wolf of Wall Street ตัวจริง

เชื่อว่าคอหุ้นหลายๆคน คงเคยดูหนังเรื่อง The Wolf of Wall Street ที่นำเรื่องจริงจากชีวิตชายชื่อ Jordan Belfort มาตีแผ่ให้เห็นอีกด้านนึงของตลาดหุ้น เกิดเป็นกระแสวลีสุดฮิต “Sell me this pen” – ขายปากกานี้ให้ฉัน ถ้าคุณขายปากกาธรรมดาๆได้ คุณก็ขายได้แทบทุกอย่างบนโลกนี้

Jordan Belfort เป็นนักธุรกิจและนักขายมือทองผู้ร่ำรวยและโด่งดังจากผลงานการเป็นนายหน้าค้าหุ้นใน Wall Street ทำเงินมหาศาลภายในเวลาอันรวดเร็วและรวยถึงขั้นใช้เงินไม่ทัน เกิดการพัวพันกับธุรกิจสีเทา เหล้ายา และผู้หญิงจนตกต่ำติดคุก เมื่อพ้นโทษออกมาก็ตั้งปณิธานจะนำประสบการณ์ชีวิตมาถ่ายทอดเป็นบทเรียนแก่ผู้อื่นให้ร่ำรวยและเป็นคนดี

อยากจะรวย ช่วยไม่ได้

Jordan Belfort เกิดและโตในย่าน Bayside ในนิวยอร์ก ครอบครัวทำงานบริษัทในตำแหน่งพนักงานบัญชี มีฐานะปานกลาง และภาพที่เห็นจนชินตาและเกิดคำถามในใจคือ พ่อแม่ที่ทำงานหนัก แม้จะมีกินมีใช้แต่ไม่รวยแบบเด็ดขาดและไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว สภาพครอบครัวที่เป็นทำให้เขาตั้งมั่นกับตัวเองว่า “ฉันจะรวยให้ได้”
หลักคิดสร้างรายได้มหาศาลจากการแก้ปัญหาเล็กๆให้ผู้อื่น

ในช่วงฤดูร้อน ชายหาด Long Island ที่อยู่ใกล้กันจะมีผู้คนมากมายไปนอนอาบแดด และการอาบแดดเป็นกิจกรรมที่ฝรั่งฟินจนไม่อยากลุกไปไหน Jordan Belfort มองเห็นโอกาสจากปัญหาที่คนไม่ยอมลุกไปไหนแม้จะอดอยากปากแห้งสักเพียงใด จึงคิดที่จะเสนอขายสินค้าและบริการแบบพร้อมส่งถึงปาก!


เขาไปติดต่อขอซื้อไอศกรีมราคาส่งและกล่องเก็บ
ความเย็นเพื่อบรรจุไอศครีม จากนั้นก็ตระเวนเสนอขายไอศครีมตามชายหาดซึ่งมันได้ผล คนมีปัญหาอาบแดดแล้วฟินจนไม่ยอมลุกไปไหน เมื่อมีคนมาเสิร์ฟของถึงที่จึงพากันซื้อถล่มทลาย

ณ ตอนนั้น เพื่อนในวัยเดียวกันทำงานรับจ้างค่าแรงชั่วโมงละ 3 เหรียญ ในขณะที่ Jordan Belfort ขายปลีกไอศกรีมได้เงินวันละ 400 เหรียญ! รายได้สะสมตลอดฤดูกาลขายไอศกรีมเท่ากับ 20,000 เหรียญ ทำให้เขามีเงินพอที่จะส่งตัวเองเข้าชั้นมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องพึ่งเงินพ่อแม่

หลงใหลการขาย

แม้จะมีประสบการณ์ที่ดีจากการขาย แต่ด้วยความที่ถูกปลูกฝังกึ่งคะยั้นคะยอจากครอบครัวว่าให้เรียนหมอ จบไปได้งานดี เงินเดือน ตำแหน่งมั่นคง เขาจึงลงเรียนหมอในสาขาทันตกรรม แต่เพียงวันแรกที่เข้าฟังคณบดีกล่าวต้อนรับนักศึกษาด้วยประโยค

“The golden age of dentistry is over. If you’re here simply because you’re looking to make a lot of money, you’re in the wrong place”

หรือ “ยุคทองของวงการทันตกรรมได้จบลงแล้ว หากคุณมาที่นี่เพื่ออยากรวย คุณมาผิดที่” — Jordan Belfort รีบลาออกจากคณะทันตกรรมทันที และสุดท้ายไปเลือกเรียนและสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีในสาขาชีววิทยา แต่ไปสมัครเข้าทำงานในตำแหน่ง Sales executive ให้บริษัทขายเนื้อสด เป็นการขายแบบตระเวนเคาะประตูตามบ้านอย่างที่เขาเคยทำตอนเด็กๆ นั่นเอง

ในช่วงแรกเป็นการติดรถไปกับพี่เลี้ยงเพื่อสังเกตวิธีคิดวิธีขายที่ไม่ประสบความสำเร็จ ใช่ครับ พี่เลี้ยงของเขาขายสินค้าแทบไม่ได้เลย เมื่อถึงตาเขาต้องออกไปขายเองบ้าง เขานำประสบการณ์ต่างๆ มาพัฒนาเป็นเทคนิคการขายจนสามารถขายเนื้อหมดคันรถภายในวันเดียวและจนเกือบจะขายรถแช่เย็นที่ขนเนื้อนั้นไปด้วยภายในเย็นวันเดียวกัน!

ขายดีจึงออกมาขายเองแม่มเลย

ด้วยความที่ขายดีจัดและเห็นเงินมหาศาลรออยู่ตรงหน้า Jordan Belfort จึงลาออกมาเปิดบริษัทขายเนื้อของตัวเองในไม่กี่เดือนต่อมา ธุรกิจของเขาเติบโตเร็วมาก เกิดทีมขายขนาดใหญ่และจำนวนรถขนส่งก็เพิ่มจากสองสามคันเป็นหลายสิบคันอย่างรวดเร็ว แต่…

ด้วยความที่ธุรกิจเติบโตเร็วและสนใจแต่ฝั่งขายหน้างานจนละเลยหลังบ้าน ทำให้ระบบหลังบ้าน การเงิน และการคนของบริษัทเขาเละเทะจนถูกพนักงานโกงในที่สุด การเติบโตอย่างรวดเร็วสู่การปิดตัวอย่างรวดเร็ว เขาสูญเสียเงินและกิจการในพริบตาทำให้จิตตกอย่างหนักถึงขั้นไม่เป็นอันทำอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะตั้งสติได้และคิดหาอะไรทำใหม่อีกครั้ง

ในช่วงเวลาที่เขาขังตัวอยู่ในห้อง เขามองเห็นเพื่อนบ้านที่ตอนเด็กไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรแต่วันนี้โตมาใส่สูทผูกไทมีรถราคาแพงขับจึงสืบถามว่าทำงานอะไร คำตอบจากเพื่อนบ้านคือ “นายหน้าค้าหุ้น” แสงสว่างส่องมากลางใจอีกครั้งและตั้งปณิธานว่า “ฉันจะรวยด้วยค้าหุ้น”

มุ่งหน้าสู่ Wall Street

Jordan Belfort สมัครและสัมภาษณ์งานตามบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ต่างๆ แม้จะไม่จบด้านการเงินเหมือนผู้สมัครคนอื่นๆ แต่ทักษะการขายทำให้เขาสามารถขายฝันแก่ผู้สัมภาษณ์จนยอมรับเขาทำงาน บริษัทนั้นชื่อว่า L.F. Rothschild

หลังเข้าทำงานจะต้องมีการฝึกอบรมและสอบ License เป็นนายหน้าค้าหุ้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน และในวันที่สำเร็จหลักสูตร เขาพร้อมเริ่มการเป็นนายหน้าค้าหุ้นอย่างถูกต้องเมื่อวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987 ตรงกับปรากฏการณ์ตลาดหุ้นพังทลายทั่วโลก หรือ Black Monday

L.F. Rothschild ปิดกิจการ Jordan ตกงาน…

มุ่งค้าหุ้น Penny Stock

แม้ตลาดหุ้นและบริษัทหลักทรัพย์ใหญ่ๆ จะล้มระนาว แต่ตลาดหุ้นและบริษัทหลักทรัพย์เล็กๆที่อยู่ตามชนบทยังคงอยู่ได้ พวกเขาอยู่กันแบบเงียบๆ และเรียบง่าย ไม่ค่อยมีการซื้อขายกันแต่ไหนแต่ไร เป็นหุ้นของธุรกิจครอบครัวตามต่างจังหวัด เป็นต้น

จุดเด่นของตลาดหุ้นเหล่านี้คือ หุ้นมีราคาถูกมาก มีราคาเป็นเศษของเงินเหรียญ และมีค่านายหน้าให้นักค้าหลักทรัพย์สูงถึง 60% ในขณะที่ค่านายหน้าของบริษัทหลักทรัพย์ในตลาดใหญ่ต่ำกว่า 1% — เมื่อ Jordan Belfort รู้ตัวเลขดังกล่าว เขาจึงตัดสินใจไปสมัครงานที่บริษัทหลักทรัพย์ในต่างจังหวัดทันที

การมาของ Jordan Belfort สร้างความคึกคักให้บริษัท เพราะที่ผ่านมาพวกเขาอยู่กันอย่างเงียบๆและแทบไม่มีการซื้อขายมานาน กระทั่ง Jordan Belfort นำทักษะแบบ Wall Street มาปิดการขายหุ้น Penny Stock ได้มากมายนำรายได้เข้าบริษัทจำนวนมากและสอนคนให้เป็นนักขายสไตล์ Wall Street

และอีกครั้ง หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำเงินจากค่านายหน้าได้เป็นกอบเป็นกำ เขาก็ออกไปเปิดบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของตัวเองและเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานความรวยไม่รู้เรื่องเจ้าของฉายา The Wolf of Wall Street

3 บทเรียนเบื้องต้นที่ได้รับจากกรณีศึกษาของ Jordan Belfort

1. การขายเริ่มต้นที่ใจ

จิตใจ กำลังใจ และความเชื่อมีความสำคัญมาก ต่อให้สินค้าดีแค่ไหนแต่ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็จะไม่สามารถขายสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ การอบรมทีมขายให้เข้าใจตัวสินค้าและมีศรัทธาต่อบริษัทรวมไปถึงการปลุกพลังใจของนักขายเป็นกุญแจสำคัญต่อการเพิ่มยอดขายของธุรกิจ

2. ธุรกิจเกิดมาเพื่อแก้ปัญหาแก่ผู้อื่น

ไอเดียธุรกิจแทบทุกชนิดบนโลกเกิดมาเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้อื่น ต่อให้เป็นปัญหาเล็กๆ ก็ตามก็อาจทำเงินได้มากมายเช่นเดียวกับการขายปลีกไอศครีมให้คนอาบแดนใน Long Island สมัยเด็กๆ ของเขานั่นเอง

3. ความสำเร็จเกิดจากลงมือทำอย่างหนัก

จากกรณีศึกษาต่างๆ จะไม่ค่อยเห็น Jordan Belfort พูดถึงความสบาย การเกษียณ สโลว์ไลฟ์ และ Passive income มากนัก ในทางกลับกันเขาหลงใหลในสิ่งที่ทำและทำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เขาต้องการ โดยกล่าวว่า ปณิธานที่น่าศรัทธาที่สุดในโลกก็เป็นได้แค่ปณิธานหากปราศจากการลงมือทำ

เครดิต  CEO Blogger

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น